ความคิดเป็นต้นทางของการกระทำและการพูด คนๆ หนึ่งมีความคิดอย่างไร ชีวิตของเขาก็จะเป็นอย่างนั้น ถ้าจะให้เกิดประโยชน์มากที่สุด เราทุกคนควรว่าจะให้ชีวิตเป็นไปในแนวทางใด การเลือกความคิดก็เท่ากับเลือกชีวิต ถ้าเปลี่ยนความคิด ชีวิตก็เปลี่ยน
การคิดของคนเราแบ่งให้เข้าใจง่ายๆ เป็นสองแนวทาง คือ การคิดทางลบ และการคิดทางบวก การคิดทางลบทำให้มองเห็นแต่ความไม่น่าพอใจ ยุ่งยาก ลำบาก เป็นไปไม่ได้ น่ากลัว น่าหวาดระแวง การคิดทางบวกทำให้มองเห็นแต่ความสดใส น่าพึงพอใจ เป็นไปได้ น่าสนใจ และน่าลงมือทำ
คิดลบ ชีวิตถดถอย
การคิดทางลบเป็นการคิดที่บั่นทอนพลังใจของตนเองและคนรอบข้าง การคิดทางลบ คือความไม่พอใจ ความช่างติเตียน ความน้อยใจ ความวิตกกังวล ความกลัว ความรู้สึกผิดที่ไม่ได้แก้ไข และความหยิ่งยโสหลงตน
การคิดทางลบทำให้เกิดการกระทำที่ "สุดโต่ง" ไม่ทางใดก็ทางหนึ่งอย่างเกินความพอดี เช่น โมโหเร็วเกินเหตุ กังวลเกินเหตุ ละเอียดเกินเหตุ น้อยใจเกินเหตุ สำคัญตนว่าฉลาดและแน่กว่าคนอื่นจนเกินเหตุ จึงส่งผลให้คนที่คิดทางลบมีวิจารณญาณที่ผิดพลาดได้ง่าย คือ เห็นสิ่งที่ควรทำเป็นของไม่ควร เห็นสิ่งที่ไม่ควรว่าเป็นสิ่งที่ควร เมื่อวิจารณญาณผิด พฤติกรรมที่ผิดกาลเทศะไปด้วย แต่เจ้าตัวไม่รู้ตัวเลยว่าตนทำผิดมารยาท ผิดกาลเทศะ ผิดจังหวะ ผิดฝาผิดตัวไปหมด
การคิดทางลบมีผลเสียต่อการทำงานและชีวิตส่วนตัว เพราะบั่นทอนความรู้สึกของตัวเอง เพื่อนร่วมทีมงาน และคนรอบข้างที่เกี่ยวข้อง เพราะทำให้จิตใจอ่อนแอ ร้อนรุ่ม สับสน หดหู่ ท้อแท้ ท้อถอย สิ้นหวัง และหมดแรงที่จะสู้ในทุกกรณี เพราะมองเห็นแต่ความยุ่งยากลำบากและความเป็นไปไม่ได้ ทำให้จิตใจและสีหน้าหม่นหมอง และเครียดจนเคยชิน ชีวิตส่วนตัวและชีวิตการทำงานก็ดูหนักไปหมด จนดูถดถอยกว่าเดิม
คิดบวก ชีวิตดีขึ้น
การคิดทางบวกเป็นการคิดที่สร้างสรรค์พลังใจให้แก่ตนเองและคนรอบข้าง การคิดทางบวก คือ ความพอใจ ความอิ่มเอมใจ ความเห็นคุณค่าของตนเองและคนรอบข้าง ความเมตตาอยากช่วยคนอื่นให้ได้สิ่งดีๆ ความเคารพและให้เกียรติคน และทำให้คนมีวิจารณญาณที่เหมาะสม ถูกกาลเทศะ ถูกจังหวะเวลา ถูกมารยาท ทำให้การงานดำเนินไปด้วยดี มีความสำเร็จยิ่งขึ้น ยิ่งทำก็ยิ่งก้าวหน้า ปัญญาก็ยิ่งเกิด ผลดีจึงได้กับชีวิตตนเอง ครอบครัว และงาน
ดิฉันได้ฝึกฝนมาด้วยตนเองจนได้สรุปว่า ถ้าเปลี่ยนความคิด ชีวิตก็เปลี่ยน ดิฉันจึงคิดหาวิธีการถ่ายทอดวิธีการเปลี่ยนความคิดจากการคิดทางลบมาเป็นการคิดทางบวก จนทำออกมาเป็นหลักสูตรเพื่อฝึกคนให้รู้แก่นแท้ว่าการคิดทางลบและทางบวกเกิดขึ้นได้อย่างไร แล้วจะลดการคิดทางลบของตนเองและเพิ่มการคิดทางบวกของตนเองได้อย่างไร
คนที่เข้ามาฝึกในหลักสูตรสองวัน จะได้ทำกิจกรรมต่างๆ ที่ออกแบบไว้เพื่อปลูกฝังทัศนคติทางบวกทีละน้อยๆ จนเข้าใจเนื้อแท้ของการคิดอย่างนี้อย่างเข้าถึงแก่น จนสามารถนำไปใช้งานในชีวิตจริงได้ทันที
ดิฉันขอยกตัวอย่างการฝึกคิดสร้างสรรค์ทางบวกให้แก่ผู้จัดการร้านทุกผลิตภัณฑ์ของกลุ่มไมเนอร์ฟู้ดกรุ๊ป เช่น พิซซ่าคอมปะนี ไอศกรีมสเวนเซ่นส์ แดรี่ควีน ซิซซ์เล่อร์ และเบอร์เกอร์คิง หลังจากเรียนสองวันจบแล้ว ต่างคนต่างนำการคิดทางบวกกลับไปทำงานของตนหลังจากนั้นสี่เดือน ผู้จัดการเหล่านั้นกลับมาพบกันใหม่กับดิฉัน เพื่อทำการทบทวนและย้ำหลักการและเพิ่มเติมสิ่งใหม่ๆ ให้
ผู้จัดการทั้งหลายมีโอกาสดีได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์และผลดีจากการนำการคิดทางบวกไปใช้จริงให้เพื่อนๆ ได้ฟัง และได้เขียนลงกระดาษบอกให้ดิฉันได้ทราบอย่างน่าประทับใจ นี่คือตัวอย่างประโยชน์ที่เขาเขียนมาเล่าให้ฟังค่ะ
1.ควบคุมอารมณ์ตัวเองได้ เช่น ปกติถ้าเข้าร้านแล้วอะไรไม่ได้ดังใจจะโวยวาย ปัจจุบันนี้นิ่ง แล้วคิดก่อนว่า เหตุที่เป็นเช่นนี้เกิดจากอะไร เราจะมีวิธีการพูดกับเขาอย่างไรให้เหตุการณ์นี้ไม่เกิดขึ้น เรียกเข้ามาคุยแล้วแก้ปัญหาอะไร
2.มองโลกในแง่ดี เช่น ทุกอย่างเป็นไปได้ เมื่อสิ่งที่เป็นทางลบ ก็คิดในทางที่ดีและค่อยๆ หาทางแก้ไข ลูกน้องมีปัญหาก็รับฟัง และช่วยกันแก้ไข ถ้ามีปัญหาเรื่องเวลาการทำงาน ก็ปรับให้สอดคล้องกัน
3.เข้าใจภาวะต่างๆ อย่างไม่ต้องวิตกกังวล พร้อมที่จะรับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นทั้งที่ดีและไม่ดีในชีวิตครอบครัว ที่ทำงาน บรรยากาศเปลี่ยนแปลง ใจเย็นขึ้น รอบคอบขึ้น มีเหตุผลมากขึ้น สิ่งที่วิตกกังวลในสิ่งต่างๆ ลดน้อยลง
4.มีทัศนคติที่สร้างสรรค์ เช่น เดิมชอบคิดว่า ใครที่ว่าเรา เขาคงเกลียดเรา แต่ถ้าเราปรับเปลี่ยนทัศนคติว่า เราทำแบบนั้นจริงไหม ถ้าจริง การว่าก็คือการตักเตือนด้วยความหวังดี ถ้าไม่จริง ก็จะไม่โกรธ เพราะไม่มีใครจะรู้จักตัวเราเท่าตัวเราเอง สักวันถ้าเราทำดีอาจจะมีคนรู้
5.มีบุคลิกสร้างสรรค์ เช่น เคยเป็นคนใจร้อน ใครทำอะไรให้ไม่พอใจ หรือทำอะไรไม่ถูกใจ ก็จะตำหนิ-ด่า โดยไม่เคยนึกถึงจิตใจของคนอื่นเลย เมื่อเรียนการคิดทางบวกแล้ว ใจเย็นขึ้น หัดพูดเรื่องที่ทำให้คนฟังรู้สึกสบายใจ เก็บอารมณ์ให้ใจเย็น
6.เป็นที่รักของคนอื่นมากขึ้น เช่น จากการเรียนมาแล้ว ได้นำมาใช้ทั้งส่วนตัวและเรื่องงานมากๆ เมื่อเวลาที่เราพูดหรือคิดไม่ดี จะเตือนตัวเองทุกครั้งว่า คิดบวกรีบกลับมานะ ทำให้คุณภาพชีวิตเราดีขึ้น เพราะทำให้เราเป็นผู้ฟังที่ดี มีผู้คนรักเรามากขึ้น
7.พัฒนาตนเองมีผลต่อลูกน้อง เช่น สิ่งที่ดีเกิดขึ้นกับชีวิตก็มีเยอะมาก แต่สิ่งที่อยากเล่าให้ฟังคือ พัฒนาการของกิริยามารยาทของตัวเอง เมื่อก่อนเป็นคนพูดไม่ค่อยคิด จนทำให้คนรอบข้างได้รับความทุกข์จากคำพูดของเรา แต่หลังจากที่ได้เรียนแล้วก็ได้คิดและปรับตัวใหม่ ชีวิตเริ่มเปลี่ยนดังคำพูด “เปลี่ยนความคิด ชีวิตก็เปลี่ยน” ปัจจุบันพนักงานทุกคนมีความสุขกับการทำงานมากขึ้น อยากมาทำงานทุกวัน ขอบคุณครับ
8.สอนลูกน้องได้ เช่น ได้ถ่ายทอดให้ลูกน้องในร้าน จากการที่เขาเป็นคนที่คิดและพูดลบๆ กลับเป็นบวก จากการที่เคยมีลูกค้าบ่น กลายเป็นมีลูกค้าประจำ
แท้จริงชีวิตนั้นแสนง่าย เราให้อะไรกับชีวิตเราก็ได้สิ่งนั้น ถ้าเปลี่ยนความคิด ชีวิตก็เปลี่ยน มานำพาชีวิตของเราเองไปในทางบวกและทางสร้างสรรค์กัน
No comments:
Post a Comment