คนส่วนใหญ่มักจะรู้สึกไม่ค่อยพอใจกับสิ่งที่ตัวเองมีอยู่ เป็นอยู่ หรือได้อยู่ มักจะเห็นสิ่งที่คนอื่นเป็น คนอื่นมี คนอื่นได้ ดีกว่าตัวเองเสมอ ที่เป็นเช่นนี้ไม่ใช่เป็นเพราะใครมีอะไรดีกว่าเราหรอก แต่เนื่องจากว่าเรามองข้ามความสำคัญของสิ่งที่เรามีอยู่นั่นเอง เช่น บ้านคนอื่นน่าอยู่กว่าบ้านเรา แฟนคนอื่นน่ารักกว่าแฟนเรา รถคนอื่นน่าขับกว่ารถเรา งานคนอื่นดีกว่างานที่เราทำอยู่ ฯลฯ ใครที่รู้สึกแบบนี้ผลที่จะติดตามมาคือความไม่พึงพอใจต่อสิ่งที่ตัวเองเป็น มี หรือได้อยู่ ทำให้ขาดความทุ่มเทในการที่จะทำ จะดูแลรักษาสิ่งเหล่านี้ไว้ เมื่อใส่ใจน้อยลง ยิ่งทำให้ความสำคัญของสิ่งนั้นๆน้อยตามลงไปด้วย
คนหลายคนพยายามไขว่คว้าหาสิ่งที่คนอื่นมีแต่ตนเองไม่มี บางคนพยายามทุกวิถีทางที่จะได้มันมา เช่น คนทำงานหลายคนอยากมีรถเป็นของตัวเองเหมือนกับที่เพื่อนๆคนอื่นเขามีกัน ทั้งๆที่ตัวเองรายได้ไม่ได้สูงมากมายอะไร สุดท้ายเป็นหนี้ก็ยอม เพียงแค่ขอให้ได้รถยนต์มาขับเท่ๆ เท่านั้นเอง และความพึงพอใจต่อสิ่งที่ได้มาส่วนใหญ่ไม่จีรังยั่งยืน แรกๆที่ได้มาก็รู้สึกดี รู้สึกพึงพอใจ แต่เมื่อมันอยู่กับเราไปนานๆ ความรู้สึกชอบรู้สึกรัก รู้สึกพอใจก็ค่อยๆจางหายไปและหมดไปในที่สุด
คนทำงานหลายคนมักจะบ่นว่าไม่ชอบทำงานนี้เลย แต่ก็ไม่รู้จะไปทำอะไร ไม่ชอบบริษัทนี้เลย แต่ก็ต้องจำใจทำ ไม่ชอบเจ้านายคนนี้เลย แต่ยังไงคงจะเปลี่ยนนายไม่ได้หรอก คนเรามักจะบ่นและโทษโน่นโทษนี่ว่าไม่ดี ไม่เหมาะกับตัวเอง แต่ไม่เคยหันมามองตัวเองเลยว่าในความเป็นจริงแล้วทุกชีวิตมีทางเลือกในชีวิตอย่างน้อยสองทางเลือกเสมอ เช่น
- เลือกที่จะทำในงานที่ตัวเองรักตัวเองถนัดหรือเลือกที่จะรักงานที่ตัวเองทำอยู่
- เลือกที่จะอยู่กับคนที่เราไม่ชอบด้วยความสนุกหรือเลือกที่จะอยู่กับคนที่เราไม่ชอบด้วยความขมขื่น
- เลือกที่จะเข้าร่วมสัมมนาด้วยความสนุกหรือเลือกที่จะเข้าร่วมสัมมนาแบบเซ็งๆไปทั้งวัน
- เลือกที่จะอยู่กับครอบครัวด้วยความสุขหรือเลือกที่จะอยู่กับครอบด้วยความทุกข์
- เลือกที่จะมีรถแต่เป็นหนี้หรือเลือกที่จะไม่มีหนี้แต่ไม่มีรถ
- เลือกที่จะแก้ไขปัญหาด้วยอารมณ์หรือเลือกที่จะแก้ปัญหาด้วยสติ ด้วยเหตุด้วยผล
- เลือกที่จะด่าลูกน้องหรือเลือกที่จะสอนให้ลูกน้องคิดได้เองเมื่อลูกน้องทำผิด
-เลือกที่จะเอาปัญหาคนอื่นมาใส่ในหัวเราหรือเลือกที่จะรับเอาสิ่งดีๆของคนอื่นเข้ามาอยู่ในหัว
ฯลฯ
จากตัวอย่างทางเลือกในชีวิตที่เขียนมานี้ คงพอจะทำให้ท่านผู้อ่านได้เห็นว่าในความเป็นจริงแล้ว คนเรามีทางเลือกในชีวิตในแต่ละเรื่องอย่างน้อยสองทางเลือกเสมอคือทางเลือกที่เป็นบวกและทางเลือกที่เป็นลบ ขึ้นอยู่กับว่าเราจะเลือกทางเลือกไหน คนส่วนใหญ่มักจะเลือกทางเลือกที่เป็นลบ จึงทำให้เกิดความเครียดและความทุกข์กันมิหยุดหย่อน
ผมอยากจะฝากข้อคิดถึงทุกๆคนครับว่า คนเราเลือกเกิดไม่ได้ก็จริงแต่เมื่อเกิดมาแล้วเรามีสิทธิที่จะเลือกสิ่งต่างๆอีกมากมาย ถ้าเราเลือกรักในทุกสิ่งที่เราต้องทำ ไม่ว่าจะเป็นเลือกที่จะรักการเรียนเมื่อยู่ในวัยเรียน เลือกรักงานที่กำลังทำ เลือกรักครอบครัวที่เรามีแล้ว โอกาสที่เราจะเลือกทำในสิ่งที่เรารักมากที่สุดนั้นมีมากขึ้น
สำหรับคนทำงานที่กินเงินเดือนส่วนใหญ่มักจะใฝ่ฝันว่าวันหนึ่งตัวเองจะออกไปทำงานส่วนตัวที่ตัวเองชอบ เช่น เปิดกิจการทัวร์ เปิดร้านเสริมสวย เป็นที่ปรึกษาอิสระ ฯลฯ ผมมีความเชื่อเป็นการส่วนตัวว่าใครก็ตามที่ต้องการให้ฝันเหล่านี้เป็นจริง จะต้องผ่านด่านที่สำคัญในชีวิตอย่างน้อยหนึ่งด่าน นั่นก็คือทำอย่างไรจึงจะรักงานที่ทำอยู่ให้ได้ก่อน เพราะงานที่ทำอยู่ในปัจจุบันนั้นคือสะพานสำคัญที่จะนำพาเราไปทำในสิ่งที่เรารักหรือเราชอบได้ ตราบใดที่เรายังไม่สามารถรักงานที่กำลังทำอยู่ได้ โอกาสที่เราจะออกไปทำสิ่งที่เรารักได้นั้นมีน้อยมากหรือแทบจะไม่มีเลยก็ว่าได้
ผมอยากให้คนทำงานทุกคนยินดีที่จะทำงานทุกอย่างที่มีโอกาส เพราะการปฏิเสธงานที่ตัวเองคิดว่าไม่รักไม่ชอบนั้น เท่ากับเป็นการปิดกั้นตัวเอง คนหลายคนเพิ่งมารู้ว่าตัวเองชอบงานบางงานที่เคยไม่ชอบมาก่อน แต่พอได้ทำได้สัมผัสก็เกิดความรักขึ้นมาเลย ผมอยากให้คนทำงานทุกคนได้มีโอกาสลอง มีโอกาสทำกับสิ่งที่ตัวเองไม่เคยทำและคิดว่าไม่ชอบ ถ้าลองทำแล้วสุดท้ายยังไม่ชอบอีก และมีสิทธิเลือกที่จะทำในสิ่งที่ตัวเองชอบก็ไม่ว่ากัน แต่ถ้าทำแล้วยังไม่มีทางเลือกที่จะทำในสิ่งที่ตัวเองชอบก็ให้พยายามหาจุดดีของงานนั้นให้ได้สักอย่างสองอย่าง เพื่อให้เรารู้สึกดีๆต่องานมากกว่าที่จะรู้สึกทางเชิงลบ อย่างน้อยที่สุดจะช่วยให้เราทำงานนั้นๆได้อย่างมีความสุขมากยิ่งขึ้นนะครับ
สุดท้ายนี้ ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าท่านผู้อ่านคงจะเริ่มมองหาสิ่งดีๆจากสิ่งหรือบุคคลที่ตัวเองไม่ชอบได้บ้างนะครับ ลองเริ่มค้นหาจากบุคคลที่ใกล้ชิดเรา งานที่เราทำ องค์กรที่เราอยู่ ถ้าทำได้แบบนี้ทุกวัน ผมเชื่อโอกาสที่เราจะได้เลือกทำในสิ่งที่เรารักจะมีมากยิ่งขึ้นอย่างแน่นอน
http://www.peoplevalue.co.th
6/8/07
ต่อยอดความคิดเชิงบวก
ความคิดเชิงบวกสำคัญอย่างไร สำหรับโลกธุรกิจที่วุ่นวายสับสนเราอาจคุ้นเคย แต่การคิดเชิงกลยุทธ์ คิดเชิงการตลาด ฯลฯ แต่ความคิดเชิงบวกนี้เองที่อยู่เบื้องหลัง ความสำเร็จระดับโลกมาแล้วมากมาย อาทิ เครื่องดื่มโค้กที่เราคุ้นเคย ใครจะคิดว่าความสำเร็จของโค้ก เป็นผลพวงมาจากความล้มเหลวของการผลิตยา ของเภสัชกรคนหนึ่งที่ชื่อ John S. Pemberton ในปี 1885 ซึ่งแม้จะเจอกับความ ล้มเหลว แต่ความคิดเชิงบวกของเขาไม่ทำให้เขาย่อท้อ แต่กลับเดินหน้าหาทางผสม นํ้าเชื่อมลงไปจนกลายเป็น Coca-Cola อันโด่งดังยาที่ไปไม่รอดในตลาด กลับกลาย เป็นเครื่องดื่มชูกำลังในปี 1886 ด้วย มุมมองทางความคิดที่แตกต่าง และ การพยายามหาทางออกให้กับตัวเอง ผลสุดท้าย บริษัทโคคาโคล่า จึงมีความ สำเร็จทั่วโลกด้วยยอดขายเกือบสองหมื่น ล้านดอลลาร์สหรัฐ
การสร้างความรู้สึกให้เราพอใจกับ ผลงานของเราเอง ไม่ว่ามันจะสำเร็จ หรือล้มเหลวก็ตามจึงเป็นเรื่องสำคัญ มาก ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ของบริษัท ระดับโลกหลายแห่งในวันนี้ส่วนใหญ่ เป็นผลมาจากการใช้มุมมองเชิงบวกกับ สิ่งที่คนธรรมดาๆ มองข้ามไป ที่น่าคิดก็คือมุมมองที่ว่านี้มีติดตัว มาในคนเราทุกคนอยู่แล้ว ขึ้นกับว่า แต่ละคนจะใช้มันมากน้อยแค่ไหน เท่านั้นเอง โดยความคิดเชิงบวก จะทำ ให้เรามองเห็นสิ่งต่างๆ รอบข้างในมิติที่แตกต่าง และมองเห็นโอกาสได้มากกว่า คนอื่นในขณะเดียวกัน ความคิดเชิงบวกนั้นก็ยังเป็นตัวจุดประกายทางความคิดให้เรา มองเห็นแนวทาง ที่คนอื่นมองไม่เห็น จึงทำให้เราสนุกกับงานและกล้าท้าทายตัวเอง ด้วยเป้าหมายใหม่ และความสำเร็จใหม่ๆ อยู่เสมอ
แต่การจะเปลี่ยนตัวเองให้มีมุมมองเชิงบวกได้ก็ไม่ง่ายนักสำหรับบางคน โดยต้อง เริ่มที่การปรับมุมมองให้มองเห็นความแตกต่างได้เสียก่อน ซึ่งเราต้องหมั่นสังเกต เพื่อมองหามิติทางความคิดที่แตกต่างจากคนอื่นแล้วจึงใช้มิตินั้นในการสร้างโอกาส ต่อมาก็ต้องเห็นคุณค่าของผลงานที่มีอยู่ เพราะตราบใดที่เรามองไม่เห็นคุณค่า ของมัน เราก็มักจะมองเห็นแต่ข้อบกพร่อง ข้อจำกัด และตำหนิที่มี แทนที่จะมองเห็น โอกาสแห่งความสำเร็จจึงกลายเป็นโอกาสแห่งความล้มเหลวเพียงอย่างเดียว ถ้าเรามองทุกอย่างเป็นเชิงบวกเป็น ก็ย่อมมองเห็นโอกาสใหม่ๆ ที่จะเข้ามาหาเรา ในขณะที่เราก็เห็นคุณค่าของสิ่งที่ตัวเองมีและรู้ว่าจะต่อยอดได้อย่างไร รวมถึงยอมรับ ข้อบกพร่องและความผิดพลาดในอดีต ก็จะทำให้เราปรับปรุงตัวให้มีคุณค่าสูงขึ้น ไปได้อีก
ยิ่งรวมกับข้อสุดท้ายคือ การมองทะลุไปให้ถึงเป้าหมายแห่งความสำเร็จได้ โอกาส ที่เราจะไปถึงเส้นชัยก่อนคนอื่นก็ยิ่งเป็นเรื่องง่าย เพราะคนที่มองเห็นเป้าหมายก็มัก จะมองเห็นแนวทางของตัวเองได้ชัดเจนกว่าคนอื่น
เมื่อแนวทางชัด ก็มีแผนการและวิธีการที่ดีๆ ตามมา ทำให้เราทำงานได้ง่ายขึ้น และกล้าลองสิ่งใหม่ๆ เพื่อความสำเร็จในอนาคตได้มากขึ้นตามไปด้วย ไม่น่าเชื่อว่าแม้จะเป็นการเดินทางไปยังต่างจังหวัดที่ค่อนข้างทุรกันดาร แต่แง่ มุมทางความคิดที่ได้กลับมานั้น มีประโยชน์กับการทำธุรกิจในวันนี้มาก ซึ่งสิ่งเหล่านี้ สะท้อนให้เห็นว่าทุกที่ ทุกแห่งในบ้านเรา ล้วนมีความฝัน และมีโอกาสที่ไม่ต่างกันนัก กิจกรรมที่มูลนิธิสร้างเสริมไทย ทำลงไปเพื่อการศึกษาของน้องๆ ในหลายๆ จังหวัด จึงน่าจะเป็นการเพาะเมล็ดพันธุ์แห่งโอกาสในอนาคตไปพร้อมๆ กัน เพราะ น้องๆ นักเรียนในวันนี้ก็จะเข้ามาเติมเต็มความคิดในแง่มุมใหม่ๆ ให้กับพวกเราใน อนาคต
สุดท้าย วันหนึ่งเมื่อเขาเติบโตขึ้นก็ย่อมมีความพร้อมที่จะไปต่อยอดทาง ความคิดให้กับเด็กๆ รุ่นใหม่ ได้สร้างความสำเร็จให้กับรุ่นต่อไป และรุ่นต่อไป อย่างไม่มีวันสิ้นสุด
การสร้างความรู้สึกให้เราพอใจกับ ผลงานของเราเอง ไม่ว่ามันจะสำเร็จ หรือล้มเหลวก็ตามจึงเป็นเรื่องสำคัญ มาก ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ของบริษัท ระดับโลกหลายแห่งในวันนี้ส่วนใหญ่ เป็นผลมาจากการใช้มุมมองเชิงบวกกับ สิ่งที่คนธรรมดาๆ มองข้ามไป ที่น่าคิดก็คือมุมมองที่ว่านี้มีติดตัว มาในคนเราทุกคนอยู่แล้ว ขึ้นกับว่า แต่ละคนจะใช้มันมากน้อยแค่ไหน เท่านั้นเอง โดยความคิดเชิงบวก จะทำ ให้เรามองเห็นสิ่งต่างๆ รอบข้างในมิติที่แตกต่าง และมองเห็นโอกาสได้มากกว่า คนอื่นในขณะเดียวกัน ความคิดเชิงบวกนั้นก็ยังเป็นตัวจุดประกายทางความคิดให้เรา มองเห็นแนวทาง ที่คนอื่นมองไม่เห็น จึงทำให้เราสนุกกับงานและกล้าท้าทายตัวเอง ด้วยเป้าหมายใหม่ และความสำเร็จใหม่ๆ อยู่เสมอ
แต่การจะเปลี่ยนตัวเองให้มีมุมมองเชิงบวกได้ก็ไม่ง่ายนักสำหรับบางคน โดยต้อง เริ่มที่การปรับมุมมองให้มองเห็นความแตกต่างได้เสียก่อน ซึ่งเราต้องหมั่นสังเกต เพื่อมองหามิติทางความคิดที่แตกต่างจากคนอื่นแล้วจึงใช้มิตินั้นในการสร้างโอกาส ต่อมาก็ต้องเห็นคุณค่าของผลงานที่มีอยู่ เพราะตราบใดที่เรามองไม่เห็นคุณค่า ของมัน เราก็มักจะมองเห็นแต่ข้อบกพร่อง ข้อจำกัด และตำหนิที่มี แทนที่จะมองเห็น โอกาสแห่งความสำเร็จจึงกลายเป็นโอกาสแห่งความล้มเหลวเพียงอย่างเดียว ถ้าเรามองทุกอย่างเป็นเชิงบวกเป็น ก็ย่อมมองเห็นโอกาสใหม่ๆ ที่จะเข้ามาหาเรา ในขณะที่เราก็เห็นคุณค่าของสิ่งที่ตัวเองมีและรู้ว่าจะต่อยอดได้อย่างไร รวมถึงยอมรับ ข้อบกพร่องและความผิดพลาดในอดีต ก็จะทำให้เราปรับปรุงตัวให้มีคุณค่าสูงขึ้น ไปได้อีก
ยิ่งรวมกับข้อสุดท้ายคือ การมองทะลุไปให้ถึงเป้าหมายแห่งความสำเร็จได้ โอกาส ที่เราจะไปถึงเส้นชัยก่อนคนอื่นก็ยิ่งเป็นเรื่องง่าย เพราะคนที่มองเห็นเป้าหมายก็มัก จะมองเห็นแนวทางของตัวเองได้ชัดเจนกว่าคนอื่น
เมื่อแนวทางชัด ก็มีแผนการและวิธีการที่ดีๆ ตามมา ทำให้เราทำงานได้ง่ายขึ้น และกล้าลองสิ่งใหม่ๆ เพื่อความสำเร็จในอนาคตได้มากขึ้นตามไปด้วย ไม่น่าเชื่อว่าแม้จะเป็นการเดินทางไปยังต่างจังหวัดที่ค่อนข้างทุรกันดาร แต่แง่ มุมทางความคิดที่ได้กลับมานั้น มีประโยชน์กับการทำธุรกิจในวันนี้มาก ซึ่งสิ่งเหล่านี้ สะท้อนให้เห็นว่าทุกที่ ทุกแห่งในบ้านเรา ล้วนมีความฝัน และมีโอกาสที่ไม่ต่างกันนัก กิจกรรมที่มูลนิธิสร้างเสริมไทย ทำลงไปเพื่อการศึกษาของน้องๆ ในหลายๆ จังหวัด จึงน่าจะเป็นการเพาะเมล็ดพันธุ์แห่งโอกาสในอนาคตไปพร้อมๆ กัน เพราะ น้องๆ นักเรียนในวันนี้ก็จะเข้ามาเติมเต็มความคิดในแง่มุมใหม่ๆ ให้กับพวกเราใน อนาคต
สุดท้าย วันหนึ่งเมื่อเขาเติบโตขึ้นก็ย่อมมีความพร้อมที่จะไปต่อยอดทาง ความคิดให้กับเด็กๆ รุ่นใหม่ ได้สร้างความสำเร็จให้กับรุ่นต่อไป และรุ่นต่อไป อย่างไม่มีวันสิ้นสุด
เริ่มต้นคิดบวกจากการฝึกคิดสองด้าน
โดยธรรมชาติแล้วคนเรามีความรู้สึกอยู่ 3 สถานะคือ
ความรู้สึกด้านบวก(Positive) ความรู้สึกกลุ่มนี้ เป็นความคิดที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ สิ่งของหรือคนที่ทำให้เรารู้สึกดีใจ ปลื้มใจ ภูมิใจ เช่น เหตุการณ์ในวันที่เรารับปริญญา เหตุการณ์ในวันที่เราบวช แต่งงาน มีลูกคนแรก ฯลฯ เหตุการณ์เหล่านี้มักจะอยู่กับเรานาน นึกทีไรก็จำได้แม่นยำและชัดเจน เวลาผ่านไปนานแค่ไหนก็จำได้ เช่น ถามว่าวันเกิดของเราคือวันที่เท่าไหร่ วันที่ลูกเราคลอด วันที่เราเข้างานที่แรก วันที่เรารับปริญญา ฯลฯ
ความรู้สึกที่เป็นกลาง(Neutral) ความรู้สึกกลุ่มนี้ เป็นความคิดที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ สิ่งของหรือบุคคลที่เข้ามาในชีวิตเราแต่ไม่ได้มีผลกระทบต่อจิตใจเราทั้งเชิงบวกและเชิงลบ เช่น เราเดินผ่านศูนย์การค้า รถยนต์วิ่งไปมาบนถนน ฝนตกฟ้าร้อง เราเดินไปทานข้าวกลางวัน ฯลฯ เหตุการณ์ในกลุ่มนี้จะอยู่กับเราไม่นาน ไม่กี่วันก็ลืมเลือนไป เพราะมันไม่ถูกบันทึกลงในความจำของเราที่เป็นความจำส่วนลึก
ความรู้สึกด้านลบ(Negative) ความรู้สึกในกลุ่มนี้ เป็นความคิดที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ สิ่งของหรือคนที่ทำให้เรารู้สึกเสียใจ เศร้าใจ ทุกข์ เช่น วันที่เราเจ็บป่วยต้องเข้าโรงพยาบาล วันที่เราสูญเสียคนที่เรารัก วันที่เราทะเลาะกับหัวหน้าคนเก่าอย่างรุนแรงจนถูกไล่ออกจากงาน ฯลฯ เหตุการณ์เหล่านี้จะอยู่กับเรานานมาก และที่สำคัญคือมันจะนึกได้เร็วและมาเร็วมาก และลืมได้ยากมาก บางเรื่องบันทึกติดตัวไปตลอดชีวิต
เมื่อชีวิตเราบันทึกสิ่งที่เป็นบวกและเป็นลบ แต่ไม่ค่อยบันทึกสิ่งที่เป็นกลาง ก็เท่ากับว่าเวลามีเหตุการณ์อะไรเข้ามาในชีวิตเรา เราก็จะไปค้นหาว่าเราเคยเจอเคยพบเหตุการณ์นี้มาก่อนหรือไม่ ถ้าเราเคยพบมาก่อนมันก็จะค้นต่อไปอีกว่าเป็นประสบการณ์เชิงบวกหรือเชิงลบ ถ้าสิ่งที่เราบันทึกไว้เป็นเชิงลบ เราก็จะคิดลบกับสิ่งที่เข้ามากระตุ้นเราในขณะนั้นๆ เช่น เราเจอคนมีหนวดเดินเข้ามาคุยกับเรา แว๊บแรกที่เราเห็นเขาสมองเราก็เริ่มกลับไปค้นหาว่าในอดีตเราเคยมีประสบการณ์เจอคนมีหนวดบ้างหรือไม่ ถ้าส่วนใหญ่คนมีหนวดที่เราเคยเจอเป็นคนไม่ดี แน่นอนว่าความคิดลบของเราเกิดขึ้นมาทันที
ดังนั้น ประสบการณ์ในอดีตจึงเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้คนเป็นคนคิดบวกหรือคิดลบ ถ้าเรามีสิ่งที่เป็นลบและเป็นลบในระดับที่เท่าๆกัน ความคิดลบจะวิ่งเร็วกว่าความคิดบวก เพราะเป็นสิ่งที่คิดง่ายกว่า เป็นสิ่งที่อยู่ตื้นกว่า เป็นสิ่งที่เราดึงมันออกมาใช้บ่อยกว่า
ถ้าใครต้องการที่จะฝึกให้ตัวเองมีความคิดเชิงบวก อันดับแรกควรจะต้องฝึกคิดสองด้านควบคู่กันไปก่อน เช่น วันไหนเจอเหตุการณ์อะไร ขอให้ฝึกคิดทั้งสองด้าน เช่น วันนี้เราเจอหัวหน้าตำหนิ แน่นอนว่าความคิดลบคงจะออกมาก่อน เราอาจจะคิดว่าหัวหน้าไม่ชอบเรา กลั่นแกล้งเรา ฯลฯ แต่ขอให้เราลองพยายามคิดอีกด้านหนึ่งคือด้านบวกด้วย อาจจะคิดว่าเขาตำหนิเราเป็นเพราะเขาหวังดีกับเราอยากให้เราได้ดี เขาตำหนิเราก็เพราะเราผิดจริงๆด้วย ก็ดีจะได้รู้ว่าเราผิดตรงไหน เพราะวันข้างหน้าเราจะได้ระมัดระวังมากขึ้น ฯลฯ
เมื่อคุ้นเคยกับการคิดสองด้านแล้ว ค่อยๆเพิ่มน้ำหนักให้กับการคิดเชิงบวก และสุดท้ายเราจะสามารถคิดเชิงบวกได้กับทุกสถานการณ์ได้โดยอัตโนมัติครับ
ความรู้สึกด้านบวก(Positive) ความรู้สึกกลุ่มนี้ เป็นความคิดที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ สิ่งของหรือคนที่ทำให้เรารู้สึกดีใจ ปลื้มใจ ภูมิใจ เช่น เหตุการณ์ในวันที่เรารับปริญญา เหตุการณ์ในวันที่เราบวช แต่งงาน มีลูกคนแรก ฯลฯ เหตุการณ์เหล่านี้มักจะอยู่กับเรานาน นึกทีไรก็จำได้แม่นยำและชัดเจน เวลาผ่านไปนานแค่ไหนก็จำได้ เช่น ถามว่าวันเกิดของเราคือวันที่เท่าไหร่ วันที่ลูกเราคลอด วันที่เราเข้างานที่แรก วันที่เรารับปริญญา ฯลฯ
ความรู้สึกที่เป็นกลาง(Neutral) ความรู้สึกกลุ่มนี้ เป็นความคิดที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ สิ่งของหรือบุคคลที่เข้ามาในชีวิตเราแต่ไม่ได้มีผลกระทบต่อจิตใจเราทั้งเชิงบวกและเชิงลบ เช่น เราเดินผ่านศูนย์การค้า รถยนต์วิ่งไปมาบนถนน ฝนตกฟ้าร้อง เราเดินไปทานข้าวกลางวัน ฯลฯ เหตุการณ์ในกลุ่มนี้จะอยู่กับเราไม่นาน ไม่กี่วันก็ลืมเลือนไป เพราะมันไม่ถูกบันทึกลงในความจำของเราที่เป็นความจำส่วนลึก
ความรู้สึกด้านลบ(Negative) ความรู้สึกในกลุ่มนี้ เป็นความคิดที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ สิ่งของหรือคนที่ทำให้เรารู้สึกเสียใจ เศร้าใจ ทุกข์ เช่น วันที่เราเจ็บป่วยต้องเข้าโรงพยาบาล วันที่เราสูญเสียคนที่เรารัก วันที่เราทะเลาะกับหัวหน้าคนเก่าอย่างรุนแรงจนถูกไล่ออกจากงาน ฯลฯ เหตุการณ์เหล่านี้จะอยู่กับเรานานมาก และที่สำคัญคือมันจะนึกได้เร็วและมาเร็วมาก และลืมได้ยากมาก บางเรื่องบันทึกติดตัวไปตลอดชีวิต
เมื่อชีวิตเราบันทึกสิ่งที่เป็นบวกและเป็นลบ แต่ไม่ค่อยบันทึกสิ่งที่เป็นกลาง ก็เท่ากับว่าเวลามีเหตุการณ์อะไรเข้ามาในชีวิตเรา เราก็จะไปค้นหาว่าเราเคยเจอเคยพบเหตุการณ์นี้มาก่อนหรือไม่ ถ้าเราเคยพบมาก่อนมันก็จะค้นต่อไปอีกว่าเป็นประสบการณ์เชิงบวกหรือเชิงลบ ถ้าสิ่งที่เราบันทึกไว้เป็นเชิงลบ เราก็จะคิดลบกับสิ่งที่เข้ามากระตุ้นเราในขณะนั้นๆ เช่น เราเจอคนมีหนวดเดินเข้ามาคุยกับเรา แว๊บแรกที่เราเห็นเขาสมองเราก็เริ่มกลับไปค้นหาว่าในอดีตเราเคยมีประสบการณ์เจอคนมีหนวดบ้างหรือไม่ ถ้าส่วนใหญ่คนมีหนวดที่เราเคยเจอเป็นคนไม่ดี แน่นอนว่าความคิดลบของเราเกิดขึ้นมาทันที
ดังนั้น ประสบการณ์ในอดีตจึงเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้คนเป็นคนคิดบวกหรือคิดลบ ถ้าเรามีสิ่งที่เป็นลบและเป็นลบในระดับที่เท่าๆกัน ความคิดลบจะวิ่งเร็วกว่าความคิดบวก เพราะเป็นสิ่งที่คิดง่ายกว่า เป็นสิ่งที่อยู่ตื้นกว่า เป็นสิ่งที่เราดึงมันออกมาใช้บ่อยกว่า
ถ้าใครต้องการที่จะฝึกให้ตัวเองมีความคิดเชิงบวก อันดับแรกควรจะต้องฝึกคิดสองด้านควบคู่กันไปก่อน เช่น วันไหนเจอเหตุการณ์อะไร ขอให้ฝึกคิดทั้งสองด้าน เช่น วันนี้เราเจอหัวหน้าตำหนิ แน่นอนว่าความคิดลบคงจะออกมาก่อน เราอาจจะคิดว่าหัวหน้าไม่ชอบเรา กลั่นแกล้งเรา ฯลฯ แต่ขอให้เราลองพยายามคิดอีกด้านหนึ่งคือด้านบวกด้วย อาจจะคิดว่าเขาตำหนิเราเป็นเพราะเขาหวังดีกับเราอยากให้เราได้ดี เขาตำหนิเราก็เพราะเราผิดจริงๆด้วย ก็ดีจะได้รู้ว่าเราผิดตรงไหน เพราะวันข้างหน้าเราจะได้ระมัดระวังมากขึ้น ฯลฯ
เมื่อคุ้นเคยกับการคิดสองด้านแล้ว ค่อยๆเพิ่มน้ำหนักให้กับการคิดเชิงบวก และสุดท้ายเราจะสามารถคิดเชิงบวกได้กับทุกสถานการณ์ได้โดยอัตโนมัติครับ
เริ่มต้นคิดบวกจากการฝึกคิดสองด้าน
โดยธรรมชาติแล้วคนเรามีความรู้สึกอยู่ 3 สถานะคือ
ความรู้สึกด้านบวก(Positive) ความรู้สึกกลุ่มนี้ เป็นความคิดที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ สิ่งของหรือคนที่ทำให้เรารู้สึกดีใจ ปลื้มใจ ภูมิใจ เช่น เหตุการณ์ในวันที่เรารับปริญญา เหตุการณ์ในวันที่เราบวช แต่งงาน มีลูกคนแรก ฯลฯ เหตุการณ์เหล่านี้มักจะอยู่กับเรานาน นึกทีไรก็จำได้แม่นยำและชัดเจน เวลาผ่านไปนานแค่ไหนก็จำได้ เช่น ถามว่าวันเกิดของเราคือวันที่เท่าไหร่ วันที่ลูกเราคลอด วันที่เราเข้างานที่แรก วันที่เรารับปริญญา ฯลฯ
ความรู้สึกที่เป็นกลาง(Neutral) ความรู้สึกกลุ่มนี้ เป็นความคิดที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ สิ่งของหรือบุคคลที่เข้ามาในชีวิตเราแต่ไม่ได้มีผลกระทบต่อจิตใจเราทั้งเชิงบวกและเชิงลบ เช่น เราเดินผ่านศูนย์การค้า รถยนต์วิ่งไปมาบนถนน ฝนตกฟ้าร้อง เราเดินไปทานข้าวกลางวัน ฯลฯ เหตุการณ์ในกลุ่มนี้จะอยู่กับเราไม่นาน ไม่กี่วันก็ลืมเลือนไป เพราะมันไม่ถูกบันทึกลงในความจำของเราที่เป็นความจำส่วนลึก
ความรู้สึกด้านลบ(Negative) ความรู้สึกในกลุ่มนี้ เป็นความคิดที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ สิ่งของหรือคนที่ทำให้เรารู้สึกเสียใจ เศร้าใจ ทุกข์ เช่น วันที่เราเจ็บป่วยต้องเข้าโรงพยาบาล วันที่เราสูญเสียคนที่เรารัก วันที่เราทะเลาะกับหัวหน้าคนเก่าอย่างรุนแรงจนถูกไล่ออกจากงาน ฯลฯ เหตุการณ์เหล่านี้จะอยู่กับเรานานมาก และที่สำคัญคือมันจะนึกได้เร็วและมาเร็วมาก และลืมได้ยากมาก บางเรื่องบันทึกติดตัวไปตลอดชีวิต
เมื่อชีวิตเราบันทึกสิ่งที่เป็นบวกและเป็นลบ แต่ไม่ค่อยบันทึกสิ่งที่เป็นกลาง ก็เท่ากับว่าเวลามีเหตุการณ์อะไรเข้ามาในชีวิตเรา เราก็จะไปค้นหาว่าเราเคยเจอเคยพบเหตุการณ์นี้มาก่อนหรือไม่ ถ้าเราเคยพบมาก่อนมันก็จะค้นต่อไปอีกว่าเป็นประสบการณ์เชิงบวกหรือเชิงลบ ถ้าสิ่งที่เราบันทึกไว้เป็นเชิงลบ เราก็จะคิดลบกับสิ่งที่เข้ามากระตุ้นเราในขณะนั้นๆ เช่น เราเจอคนมีหนวดเดินเข้ามาคุยกับเรา แว๊บแรกที่เราเห็นเขาสมองเราก็เริ่มกลับไปค้นหาว่าในอดีตเราเคยมีประสบการณ์เจอคนมีหนวดบ้างหรือไม่ ถ้าส่วนใหญ่คนมีหนวดที่เราเคยเจอเป็นคนไม่ดี แน่นอนว่าความคิดลบของเราเกิดขึ้นมาทันที
ดังนั้น ประสบการณ์ในอดีตจึงเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้คนเป็นคนคิดบวกหรือคิดลบ ถ้าเรามีสิ่งที่เป็นลบและเป็นลบในระดับที่เท่าๆกัน ความคิดลบจะวิ่งเร็วกว่าความคิดบวก เพราะเป็นสิ่งที่คิดง่ายกว่า เป็นสิ่งที่อยู่ตื้นกว่า เป็นสิ่งที่เราดึงมันออกมาใช้บ่อยกว่า
ถ้าใครต้องการที่จะฝึกให้ตัวเองมีความคิดเชิงบวก อันดับแรกควรจะต้องฝึกคิดสองด้านควบคู่กันไปก่อน เช่น วันไหนเจอเหตุการณ์อะไร ขอให้ฝึกคิดทั้งสองด้าน เช่น วันนี้เราเจอหัวหน้าตำหนิ แน่นอนว่าความคิดลบคงจะออกมาก่อน เราอาจจะคิดว่าหัวหน้าไม่ชอบเรา กลั่นแกล้งเรา ฯลฯ แต่ขอให้เราลองพยายามคิดอีกด้านหนึ่งคือด้านบวกด้วย อาจจะคิดว่าเขาตำหนิเราเป็นเพราะเขาหวังดีกับเราอยากให้เราได้ดี เขาตำหนิเราก็เพราะเราผิดจริงๆด้วย ก็ดีจะได้รู้ว่าเราผิดตรงไหน เพราะวันข้างหน้าเราจะได้ระมัดระวังมากขึ้น ฯลฯ
เมื่อคุ้นเคยกับการคิดสองด้านแล้ว ค่อยๆเพิ่มน้ำหนักให้กับการคิดเชิงบวก และสุดท้ายเราจะสามารถคิดเชิงบวกได้กับทุกสถานการณ์ได้โดยอัตโนมัติครับ
ความรู้สึกด้านบวก(Positive) ความรู้สึกกลุ่มนี้ เป็นความคิดที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ สิ่งของหรือคนที่ทำให้เรารู้สึกดีใจ ปลื้มใจ ภูมิใจ เช่น เหตุการณ์ในวันที่เรารับปริญญา เหตุการณ์ในวันที่เราบวช แต่งงาน มีลูกคนแรก ฯลฯ เหตุการณ์เหล่านี้มักจะอยู่กับเรานาน นึกทีไรก็จำได้แม่นยำและชัดเจน เวลาผ่านไปนานแค่ไหนก็จำได้ เช่น ถามว่าวันเกิดของเราคือวันที่เท่าไหร่ วันที่ลูกเราคลอด วันที่เราเข้างานที่แรก วันที่เรารับปริญญา ฯลฯ
ความรู้สึกที่เป็นกลาง(Neutral) ความรู้สึกกลุ่มนี้ เป็นความคิดที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ สิ่งของหรือบุคคลที่เข้ามาในชีวิตเราแต่ไม่ได้มีผลกระทบต่อจิตใจเราทั้งเชิงบวกและเชิงลบ เช่น เราเดินผ่านศูนย์การค้า รถยนต์วิ่งไปมาบนถนน ฝนตกฟ้าร้อง เราเดินไปทานข้าวกลางวัน ฯลฯ เหตุการณ์ในกลุ่มนี้จะอยู่กับเราไม่นาน ไม่กี่วันก็ลืมเลือนไป เพราะมันไม่ถูกบันทึกลงในความจำของเราที่เป็นความจำส่วนลึก
ความรู้สึกด้านลบ(Negative) ความรู้สึกในกลุ่มนี้ เป็นความคิดที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ สิ่งของหรือคนที่ทำให้เรารู้สึกเสียใจ เศร้าใจ ทุกข์ เช่น วันที่เราเจ็บป่วยต้องเข้าโรงพยาบาล วันที่เราสูญเสียคนที่เรารัก วันที่เราทะเลาะกับหัวหน้าคนเก่าอย่างรุนแรงจนถูกไล่ออกจากงาน ฯลฯ เหตุการณ์เหล่านี้จะอยู่กับเรานานมาก และที่สำคัญคือมันจะนึกได้เร็วและมาเร็วมาก และลืมได้ยากมาก บางเรื่องบันทึกติดตัวไปตลอดชีวิต
เมื่อชีวิตเราบันทึกสิ่งที่เป็นบวกและเป็นลบ แต่ไม่ค่อยบันทึกสิ่งที่เป็นกลาง ก็เท่ากับว่าเวลามีเหตุการณ์อะไรเข้ามาในชีวิตเรา เราก็จะไปค้นหาว่าเราเคยเจอเคยพบเหตุการณ์นี้มาก่อนหรือไม่ ถ้าเราเคยพบมาก่อนมันก็จะค้นต่อไปอีกว่าเป็นประสบการณ์เชิงบวกหรือเชิงลบ ถ้าสิ่งที่เราบันทึกไว้เป็นเชิงลบ เราก็จะคิดลบกับสิ่งที่เข้ามากระตุ้นเราในขณะนั้นๆ เช่น เราเจอคนมีหนวดเดินเข้ามาคุยกับเรา แว๊บแรกที่เราเห็นเขาสมองเราก็เริ่มกลับไปค้นหาว่าในอดีตเราเคยมีประสบการณ์เจอคนมีหนวดบ้างหรือไม่ ถ้าส่วนใหญ่คนมีหนวดที่เราเคยเจอเป็นคนไม่ดี แน่นอนว่าความคิดลบของเราเกิดขึ้นมาทันที
ดังนั้น ประสบการณ์ในอดีตจึงเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้คนเป็นคนคิดบวกหรือคิดลบ ถ้าเรามีสิ่งที่เป็นลบและเป็นลบในระดับที่เท่าๆกัน ความคิดลบจะวิ่งเร็วกว่าความคิดบวก เพราะเป็นสิ่งที่คิดง่ายกว่า เป็นสิ่งที่อยู่ตื้นกว่า เป็นสิ่งที่เราดึงมันออกมาใช้บ่อยกว่า
ถ้าใครต้องการที่จะฝึกให้ตัวเองมีความคิดเชิงบวก อันดับแรกควรจะต้องฝึกคิดสองด้านควบคู่กันไปก่อน เช่น วันไหนเจอเหตุการณ์อะไร ขอให้ฝึกคิดทั้งสองด้าน เช่น วันนี้เราเจอหัวหน้าตำหนิ แน่นอนว่าความคิดลบคงจะออกมาก่อน เราอาจจะคิดว่าหัวหน้าไม่ชอบเรา กลั่นแกล้งเรา ฯลฯ แต่ขอให้เราลองพยายามคิดอีกด้านหนึ่งคือด้านบวกด้วย อาจจะคิดว่าเขาตำหนิเราเป็นเพราะเขาหวังดีกับเราอยากให้เราได้ดี เขาตำหนิเราก็เพราะเราผิดจริงๆด้วย ก็ดีจะได้รู้ว่าเราผิดตรงไหน เพราะวันข้างหน้าเราจะได้ระมัดระวังมากขึ้น ฯลฯ
เมื่อคุ้นเคยกับการคิดสองด้านแล้ว ค่อยๆเพิ่มน้ำหนักให้กับการคิดเชิงบวก และสุดท้ายเราจะสามารถคิดเชิงบวกได้กับทุกสถานการณ์ได้โดยอัตโนมัติครับ
สะสมประสบการณ์ชีวิตด้วยการคิดเชิงบวก
หลายคนเสียโอกาสในชีวิตจากภารกิจที่นอกเหนือจากงานประจำ จากปัญหาในชีวิต จากการช่วยเหลือคนอื่น จากความท้าทายที่ผ่านเข้ามาในชีวิต เพียงเพราะคิดในเชิงลบ เช่น ไม่อยากทำงานอื่นเพิ่มเติมเพราะกลัวขาดทุน (ทำงานมากกว่าเงินเดือน) ไม่อยากไปช่วยคนอื่นเพราะไม่มีผลประโยชน์อะไรตอบแทน ไม่อยากเสี่ยง กับเรื่องใหม่ๆที่ยังไม่คุ้นเคย ฯลฯ คนส่วนใหญ่มักจะมองเพียงผลประโยชน์ในระยะสั้นมากกว่าประสบการณ์ชีวิต ในระยะยาว คนเรามัวแต่คิดถึงแต่คำว่า "คุ้มหรือไม่คุ้ม" และ "ได้หรือเสีย"
ผมจึงอยากจะแนะนำเทคนิคการคิดเชิงบวกเพื่อเปลี่ยนปัญหา ความเสี่ยงและความท้าทายในชีวิตมาสู่ประสบการณ์ชีวิตที่มีมูลค่าเพิ่มในระยะยาว โดยให้พยายามคิดหาเหตุผลเชิงบวกมาหักล้างกับความคิดเชิงลบ หรือหาเหตุผลเชิงบวกมาสร้างแรงจูงใจให้กับตัวเอง เช่น
ถ้าหัวหน้าให้ทำงานหนัก (แต่เงินเดือนเท่าเดิม) จงคิดว่าถ้าเราทำงานหนักในวันนี้และทำให้เรามีประสบการณ์เพิ่มขึ้น เราจะไปหาเงินเดือนที่สูงกว่านี้คงจะไม่ยาก และคิดเสียว่าเมื่ออายุงานเราผ่านไปนาน เราจะขอกลับมาทำงานที่มันผ่านไปแล้วไม่ได้ หรือคิดว่ายังมีคนอีกหลายคนที่อยากมีงานทำทั้งคนตกงาน หรือแม้กระทั่งคนร่ำรวยที่อยากจะมีอะไรทำในชีวิต ในขณะที่เรามีโอกาสทำงานที่มากกว่าคนอื่น จึงน่าจะรีบฉวยโอกาสนี้ให้กับตัวเอง
ถ้าต้องเรียนรู้เรื่องใหม่ๆที่ยากๆ แต่ไม่มีใครบอกว่าจะได้อะไรจากสิ่งนั้น จงคิดว่าการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆจะช่วยให้เราก้าวทันโลกทันสังคมมากขึ้น ถึงแม้ว่าเราจะรู้เรื่องใหม่เพียงน้อยนิด แต่เราก็ยังดีกว่าคนที่ไม่ยอมเรียนรู้สิ่งใหม่ๆอะไรเลย ลองนึกถึงเรื่องใหม่ๆในอดีตที่เราเคยผ่านไปแล้ว ณ วันนี้กลายเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้ว ดังนั้น จงคิดว่าเรื่องใหม่วันนี้ พรุ่งนี้ก็เป็นเรื่องธรรมดาไปแล้ว จะเห็นว่าทุกครั้งที่เราเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ เราจะได้ความรู้ใหม่เพิ่มขึ้นร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ถ้าเรามัวแต่จมอยู่กับสิ่งเก่าๆ เราจะไม่มีความรู้ใหม่เพิ่มขึ้นเลย
ถ้าครอบครัวมีปัญหาที่ไม่สามารถแก้ไขได้ จงคิดว่าดีกว่าคนที่เป็นเด็กกำพร้า ไม่มีพ่อแม่ ไม่มีครอบครัว จงคิดบวกว่าดีเหมือนกันถ้าเรารู้ว่าปัญหาครอบครัวสร้างผลกระทบต่อจิตใจของเราอย่างไร เราจะได้จำไว้เตือนใจตัวเองว่าจะไม่ทำกับครอบครัวของเรา
ถ้ารับจ้างทำงานให้ใคร แล้วเขาไม่จ่ายตังค์ ก็ให้คิดเสียว่าชาติที่แล้ว เราคงเป็นหนี้เขามาก่อน ชาตินี้เราเลยต้องมาชดใช้คืนให้เขา หรือคิดเสียว่าถึงแม้เราจะไม่ได้เงิน แต่เราได้ประสบการณ์ อย่างน้อยๆก็ประสบการณ์ในการเลือกทำงานให้กับคนอื่นที่รอบคอบมากขึ้น และประสบการณ์ที่เราไปทำงานให้เขาก็จะช่วยให้เรามีความรู้ความสามารถเพิ่มขึ้น และสามารถนำประสบการณ์ที่ได้นี้ไปสร้างประโยชน์ให้กับตัวเองและผู้อื่น เผลอๆอาจจะได้ผลตอบแทนมากกว่าที่เราเสียไปก็ได้
ถ้ามีเรื่องผิดใจกับเพื่อนสนิท ก็ให้คิดว่าดีเหมือนกันจะได้มีเวลาทบทวนตัวเอง และเป็นข้อควรระวังว่าถ้าเราจะคบใครนั้น ยิ่งสนิทสนมมากเท่าไหร่ เวลาผิดใจกันแล้ว จะรุนแรงกว่าเพื่อนคนอื่น
ถ้ามีคนนำเอาความรู้ของเราไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็คิดเสียว่าความรู้ของเรามีคุณค่ามากเพียงพอที่คนอื่นต้องการนำไปใช้ และคิดเสียว่าไม่มีอะไรในโลกนี้เป็นของเราที่แท้จริง เป็นเพียงสิ่งสมมติเท่านั้นว่ามันคือของเรา คิดว่าดีเหมือนกันที่เราจะได้มีพลังในการพัฒนาความรู้ใหม่ๆขึ้นมาทดแทนความรู้ที่ถูกถ่ายทอดไปให้คนอื่น
ขอให้เพื่อนๆสมาชิกลองนำไปประยุกต์ใช้กับตัวเองดูนะครับ อย่างน้อยๆก็น่าจะช่วยทำให้เรามีประสบการณ์กับเวลาผ่านเข้ามาในชีวิตได้อย่างมีคุณค่ามากยิ่งขึ้นนะครับ
ผมจึงอยากจะแนะนำเทคนิคการคิดเชิงบวกเพื่อเปลี่ยนปัญหา ความเสี่ยงและความท้าทายในชีวิตมาสู่ประสบการณ์ชีวิตที่มีมูลค่าเพิ่มในระยะยาว โดยให้พยายามคิดหาเหตุผลเชิงบวกมาหักล้างกับความคิดเชิงลบ หรือหาเหตุผลเชิงบวกมาสร้างแรงจูงใจให้กับตัวเอง เช่น
ถ้าหัวหน้าให้ทำงานหนัก (แต่เงินเดือนเท่าเดิม) จงคิดว่าถ้าเราทำงานหนักในวันนี้และทำให้เรามีประสบการณ์เพิ่มขึ้น เราจะไปหาเงินเดือนที่สูงกว่านี้คงจะไม่ยาก และคิดเสียว่าเมื่ออายุงานเราผ่านไปนาน เราจะขอกลับมาทำงานที่มันผ่านไปแล้วไม่ได้ หรือคิดว่ายังมีคนอีกหลายคนที่อยากมีงานทำทั้งคนตกงาน หรือแม้กระทั่งคนร่ำรวยที่อยากจะมีอะไรทำในชีวิต ในขณะที่เรามีโอกาสทำงานที่มากกว่าคนอื่น จึงน่าจะรีบฉวยโอกาสนี้ให้กับตัวเอง
ถ้าต้องเรียนรู้เรื่องใหม่ๆที่ยากๆ แต่ไม่มีใครบอกว่าจะได้อะไรจากสิ่งนั้น จงคิดว่าการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆจะช่วยให้เราก้าวทันโลกทันสังคมมากขึ้น ถึงแม้ว่าเราจะรู้เรื่องใหม่เพียงน้อยนิด แต่เราก็ยังดีกว่าคนที่ไม่ยอมเรียนรู้สิ่งใหม่ๆอะไรเลย ลองนึกถึงเรื่องใหม่ๆในอดีตที่เราเคยผ่านไปแล้ว ณ วันนี้กลายเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้ว ดังนั้น จงคิดว่าเรื่องใหม่วันนี้ พรุ่งนี้ก็เป็นเรื่องธรรมดาไปแล้ว จะเห็นว่าทุกครั้งที่เราเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ เราจะได้ความรู้ใหม่เพิ่มขึ้นร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ถ้าเรามัวแต่จมอยู่กับสิ่งเก่าๆ เราจะไม่มีความรู้ใหม่เพิ่มขึ้นเลย
ถ้าครอบครัวมีปัญหาที่ไม่สามารถแก้ไขได้ จงคิดว่าดีกว่าคนที่เป็นเด็กกำพร้า ไม่มีพ่อแม่ ไม่มีครอบครัว จงคิดบวกว่าดีเหมือนกันถ้าเรารู้ว่าปัญหาครอบครัวสร้างผลกระทบต่อจิตใจของเราอย่างไร เราจะได้จำไว้เตือนใจตัวเองว่าจะไม่ทำกับครอบครัวของเรา
ถ้ารับจ้างทำงานให้ใคร แล้วเขาไม่จ่ายตังค์ ก็ให้คิดเสียว่าชาติที่แล้ว เราคงเป็นหนี้เขามาก่อน ชาตินี้เราเลยต้องมาชดใช้คืนให้เขา หรือคิดเสียว่าถึงแม้เราจะไม่ได้เงิน แต่เราได้ประสบการณ์ อย่างน้อยๆก็ประสบการณ์ในการเลือกทำงานให้กับคนอื่นที่รอบคอบมากขึ้น และประสบการณ์ที่เราไปทำงานให้เขาก็จะช่วยให้เรามีความรู้ความสามารถเพิ่มขึ้น และสามารถนำประสบการณ์ที่ได้นี้ไปสร้างประโยชน์ให้กับตัวเองและผู้อื่น เผลอๆอาจจะได้ผลตอบแทนมากกว่าที่เราเสียไปก็ได้
ถ้ามีเรื่องผิดใจกับเพื่อนสนิท ก็ให้คิดว่าดีเหมือนกันจะได้มีเวลาทบทวนตัวเอง และเป็นข้อควรระวังว่าถ้าเราจะคบใครนั้น ยิ่งสนิทสนมมากเท่าไหร่ เวลาผิดใจกันแล้ว จะรุนแรงกว่าเพื่อนคนอื่น
ถ้ามีคนนำเอาความรู้ของเราไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็คิดเสียว่าความรู้ของเรามีคุณค่ามากเพียงพอที่คนอื่นต้องการนำไปใช้ และคิดเสียว่าไม่มีอะไรในโลกนี้เป็นของเราที่แท้จริง เป็นเพียงสิ่งสมมติเท่านั้นว่ามันคือของเรา คิดว่าดีเหมือนกันที่เราจะได้มีพลังในการพัฒนาความรู้ใหม่ๆขึ้นมาทดแทนความรู้ที่ถูกถ่ายทอดไปให้คนอื่น
ขอให้เพื่อนๆสมาชิกลองนำไปประยุกต์ใช้กับตัวเองดูนะครับ อย่างน้อยๆก็น่าจะช่วยทำให้เรามีประสบการณ์กับเวลาผ่านเข้ามาในชีวิตได้อย่างมีคุณค่ามากยิ่งขึ้นนะครับ
บุคลิก CEO
เร็วๆ นี้ ผมได้มีโอกาสฟังรายการ New Dimensions จัดโดย ดร.บุญชัย โกศลธนากุลและดร.วิมลกานต์ โกสุมาศ ทางสถานีวิทยุ FM 97.5 เกี่ยวกับเรื่องวิธีคิดและบุคลิกร่วมของ CEO ระดับโลก ซึ่งน่าสนใจอย่างยิ่ง จึงขอนำมาถ่ายทอดให้ท่านผู้อ่านได้ลองพิจารณากันว่า บุคคลเหล่านี้เขามีแนวความคิดอย่างไร บริหารงานอย่างไร ถึงได้มีรายได้ต่อปีกันเป็นพันๆ ล้าน ยังไม่นับรวมหุ้น เงินปันผล และสวัสดิการอื่นๆ อีกมากมาย
เผื่อว่าพวกเราจะได้มีรายได้แบบอู้ฟู่อย่างนี้กันบ้าง ก็คงจะดีไม่น้อย!
นิตยสารที่ทรงอิทธิพลระดับโลก เช่น Fortune หรือ Forbes มักจะทำวิจัยเกี่ยวกับแนวความคิดของนักบริหารและเจ้าของกิจการที่ประสบความสำเร็จ เพื่อที่จะนำมาวิเคราะห์และสรุปบุคลิกและแนวคิดร่วม ซึ่งแน่นอน ย่อมเป็นวิธีคิดและประสบการณ์ที่หาได้ยากในคนทั่วไป ไม่เช่นนั้น บริษัทยักษ์ใหญ่ทั้งหลาย คงไม่ทุ่มทุนจ้างในเงินเดือนขนาดนี้ ซึ่งโดยเฉลี่ยสูงกว่าพนักงานธรรมดาถึง 25 เท่าหรือ 100 เท่าก็มี
บุคลิกภาพประการแรก คือ การเป็นคนมีความมั่นใจในตัวเองสูง และเน้นไปที่ผลงานหรือเป้าหมายเป็นหลัก (End Result) ผู้นำส่วนใหญ่จะไม่ไปเน้นที่ปัญหาหรือขั้นตอนรายละเอียด แต่จะพยายามผลักดันให้ทีมงานบรรลุเป้าประสงค์ให้ได้ โดยมีลักษณะของความเป็นผู้นำที่มีความมั่นใจ (Self Esteem) แต่ไม่มากเกินไปจนเข้าข่ายก้าวร้าว
ประการต่อไป ควบคุมสติอารมณ์ได้ดี ทั้งแววตา สีหน้า โทนเสียง และกริยาอาการท่าทางทั้งหมด เรียกว่า Total Message ข้อนี้ ผู้บริหารบางคนไม่เข้าใจ คิดว่าตนเองพูดนิ่มๆ ใช้ภาษาสุภาพ แต่ปรากฏว่าน้ำเสียงและแววตาแสดงถึงความไม่พอใจ ตำหนิติเตียน หรือถากถาง แน่นอนลูกน้องขวัญกระเจิดกระเจิง กู่ไม่กลับเพียงแค่ได้ยินชื่อเท่านั้น เพราะฉะนั้น ต้องหมั่นสังเกตตัวเองอยู่ตลอดเวลา อย่าสติแตกบ่อยๆ และทำทุกอย่างตามธรรมชาติและจริงใจด้วย เสแสร้งก็ไม่ควรทำ ลูกน้องจับได้ง่ายๆ
บุคลิกน่าไว้วางใจ รักษาคำมั่นสัญญา ซื่อสัตย์ ยุติธรรม ไม่ลำเอียง ล้วนเป็นคุณสมบัติสำคัญของผู้นำ นอกจากนี้ ยังควรมีนิสัยคิดก่อนพูด ไม่ใช่เป็นคนพูดพร่ำเพื่อ เพ้อเจ้อ จะสังเกตเห็นว่า ผู้นำบางคนมีลักษณะนิ่งๆ เหมือนกับว่านั่งอยู่เฉยๆ ไม่ได้ทำอะไร แต่ความจริงกำลังวางแผนงานล่วงหน้าตลอดเวลา และพูดเมื่อจำเป็น และด้วยปิยวาจาเท่านั้น คงไม่มีใครอยากอยู่กับผู้นำที่มีแต่คำผรุสวาทตลอดเวลา เป็นการลดเกรดตัวเอง และลดความน่าเคารพนับถือลงไปโดยอัติโนมัติ
นอกจากนี้ ผู้นำระดับแนวหน้ายังมีความคิดและบุคลิกที่โดดเด่น ไม่เหมือนใคร มีเอกลักษณ์ มีแบรนด์ของตัวเอง เป็นคนที่กล้าคิด กล้าทำ กล้าสวนกระแส ไม่ใช่เป็น ผู้ตามกระแสตลอดเวลา หากเราไม่สามารถสร้างความแตกต่างตรงนี้ได้ เราก็คงจะเหมือนๆ กับอีกหลายๆ คน ฟังแล้วชีวิตน่าเบื่อจัง!
อีกประการหนึ่ง คือ ความเป็นคนช่างถาม ช่างสังเกต มองเห็นความเป็นไป ความเปลี่ยนแปลง ความเคลื่อนไหวของทุกสรรพสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งภายในและภายนอกองค์กร ไม่ใช่เป็นผู้บริหารประเภทคอยรับรายงานอยู่บนหอคอยงาช้าง หรือทำตัวเป็น Mr Know-All คือ รู้ไปหมด เก่งไปซะทุกอย่าง ไว้ใจใครไม่ได้เลย อย่างนี้ก็ปล่อยให้ทำไปคนเดียวดีกว่า ไม่ต้องจ้างคนอื่นอีก แต่ที่สำคัญ คือ การเป็นคนมีจิตวิทยาในการตั้งคำถามเพื่อให้ได้ข้อมูลที่เป็นจริง ปราศจากการบิดเบือนใส่สีตีไข่จากคนรอบข้าง ตรงนี้เป็นศิลปะอย่างหนึ่งของผู้นำ ที่จะสามารถเปิดใจพนักงานให้กล้าคิด กล้าทำ กล้าแสดงออก พัฒนาองค์กรไปพร้อมๆ กันได้หรือเปล่า
ปิรามิดหัวกลับ นั่นหมายถืง ผู้นำย่อมทำงานหนักมากกว่าบุคคลอื่นๆ ในองค์กร ไม่มีวันหยุด ทั้งงานราษฎร์ งานหลวง ทั้งกิจกรรมของพนักงาน ของบริษัท ของสังคม ผู้นำจะยินดีรับทำด้วยความยินดีปรีดา ทำอย่างสม่ำเสมอ และด้วยความภาคภูมิใจ รวมถึงการสร้างเครือข่ายพันธมิตรในแวดวงธุรกิจ และการทำตัวให้เป็นที่รู้จักในวงกว้างด้วย
ประการสุดท้าย คือ การไม่หลง ไม่เหลิงอำนาจ ทำตัวเป็นเศรษฐีเหลิงลม คนเรามักจะลืมตัวเมื่อมีอำนาจ มีลาภยศสรรเสริญ แต่คนที่จะก้าวขึ้นสู่สูงสุดและอยู่ได้อย่างมั่นคง ย่อมไม่หวั่นไหวต่อสิ่งเหล่านี้ และไม่ยอมให้ปัจจัยภายนอกมาเปลี่ยนแปลงทัศนคติและพฤติกรรมของเขาได้ง่ายๆ ผู้นำที่แท้จริงมักนิยมความสมถะ เรียบง่าย และเสมอต้นเสมอปลาย
ดูๆ แล้ว พวกเราก็มีโอกาสเป็น CEO ระดับโลกกับเขาเหมือนกันนะครับ!
เผื่อว่าพวกเราจะได้มีรายได้แบบอู้ฟู่อย่างนี้กันบ้าง ก็คงจะดีไม่น้อย!
นิตยสารที่ทรงอิทธิพลระดับโลก เช่น Fortune หรือ Forbes มักจะทำวิจัยเกี่ยวกับแนวความคิดของนักบริหารและเจ้าของกิจการที่ประสบความสำเร็จ เพื่อที่จะนำมาวิเคราะห์และสรุปบุคลิกและแนวคิดร่วม ซึ่งแน่นอน ย่อมเป็นวิธีคิดและประสบการณ์ที่หาได้ยากในคนทั่วไป ไม่เช่นนั้น บริษัทยักษ์ใหญ่ทั้งหลาย คงไม่ทุ่มทุนจ้างในเงินเดือนขนาดนี้ ซึ่งโดยเฉลี่ยสูงกว่าพนักงานธรรมดาถึง 25 เท่าหรือ 100 เท่าก็มี
บุคลิกภาพประการแรก คือ การเป็นคนมีความมั่นใจในตัวเองสูง และเน้นไปที่ผลงานหรือเป้าหมายเป็นหลัก (End Result) ผู้นำส่วนใหญ่จะไม่ไปเน้นที่ปัญหาหรือขั้นตอนรายละเอียด แต่จะพยายามผลักดันให้ทีมงานบรรลุเป้าประสงค์ให้ได้ โดยมีลักษณะของความเป็นผู้นำที่มีความมั่นใจ (Self Esteem) แต่ไม่มากเกินไปจนเข้าข่ายก้าวร้าว
ประการต่อไป ควบคุมสติอารมณ์ได้ดี ทั้งแววตา สีหน้า โทนเสียง และกริยาอาการท่าทางทั้งหมด เรียกว่า Total Message ข้อนี้ ผู้บริหารบางคนไม่เข้าใจ คิดว่าตนเองพูดนิ่มๆ ใช้ภาษาสุภาพ แต่ปรากฏว่าน้ำเสียงและแววตาแสดงถึงความไม่พอใจ ตำหนิติเตียน หรือถากถาง แน่นอนลูกน้องขวัญกระเจิดกระเจิง กู่ไม่กลับเพียงแค่ได้ยินชื่อเท่านั้น เพราะฉะนั้น ต้องหมั่นสังเกตตัวเองอยู่ตลอดเวลา อย่าสติแตกบ่อยๆ และทำทุกอย่างตามธรรมชาติและจริงใจด้วย เสแสร้งก็ไม่ควรทำ ลูกน้องจับได้ง่ายๆ
บุคลิกน่าไว้วางใจ รักษาคำมั่นสัญญา ซื่อสัตย์ ยุติธรรม ไม่ลำเอียง ล้วนเป็นคุณสมบัติสำคัญของผู้นำ นอกจากนี้ ยังควรมีนิสัยคิดก่อนพูด ไม่ใช่เป็นคนพูดพร่ำเพื่อ เพ้อเจ้อ จะสังเกตเห็นว่า ผู้นำบางคนมีลักษณะนิ่งๆ เหมือนกับว่านั่งอยู่เฉยๆ ไม่ได้ทำอะไร แต่ความจริงกำลังวางแผนงานล่วงหน้าตลอดเวลา และพูดเมื่อจำเป็น และด้วยปิยวาจาเท่านั้น คงไม่มีใครอยากอยู่กับผู้นำที่มีแต่คำผรุสวาทตลอดเวลา เป็นการลดเกรดตัวเอง และลดความน่าเคารพนับถือลงไปโดยอัติโนมัติ
นอกจากนี้ ผู้นำระดับแนวหน้ายังมีความคิดและบุคลิกที่โดดเด่น ไม่เหมือนใคร มีเอกลักษณ์ มีแบรนด์ของตัวเอง เป็นคนที่กล้าคิด กล้าทำ กล้าสวนกระแส ไม่ใช่เป็น ผู้ตามกระแสตลอดเวลา หากเราไม่สามารถสร้างความแตกต่างตรงนี้ได้ เราก็คงจะเหมือนๆ กับอีกหลายๆ คน ฟังแล้วชีวิตน่าเบื่อจัง!
อีกประการหนึ่ง คือ ความเป็นคนช่างถาม ช่างสังเกต มองเห็นความเป็นไป ความเปลี่ยนแปลง ความเคลื่อนไหวของทุกสรรพสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งภายในและภายนอกองค์กร ไม่ใช่เป็นผู้บริหารประเภทคอยรับรายงานอยู่บนหอคอยงาช้าง หรือทำตัวเป็น Mr Know-All คือ รู้ไปหมด เก่งไปซะทุกอย่าง ไว้ใจใครไม่ได้เลย อย่างนี้ก็ปล่อยให้ทำไปคนเดียวดีกว่า ไม่ต้องจ้างคนอื่นอีก แต่ที่สำคัญ คือ การเป็นคนมีจิตวิทยาในการตั้งคำถามเพื่อให้ได้ข้อมูลที่เป็นจริง ปราศจากการบิดเบือนใส่สีตีไข่จากคนรอบข้าง ตรงนี้เป็นศิลปะอย่างหนึ่งของผู้นำ ที่จะสามารถเปิดใจพนักงานให้กล้าคิด กล้าทำ กล้าแสดงออก พัฒนาองค์กรไปพร้อมๆ กันได้หรือเปล่า
ปิรามิดหัวกลับ นั่นหมายถืง ผู้นำย่อมทำงานหนักมากกว่าบุคคลอื่นๆ ในองค์กร ไม่มีวันหยุด ทั้งงานราษฎร์ งานหลวง ทั้งกิจกรรมของพนักงาน ของบริษัท ของสังคม ผู้นำจะยินดีรับทำด้วยความยินดีปรีดา ทำอย่างสม่ำเสมอ และด้วยความภาคภูมิใจ รวมถึงการสร้างเครือข่ายพันธมิตรในแวดวงธุรกิจ และการทำตัวให้เป็นที่รู้จักในวงกว้างด้วย
ประการสุดท้าย คือ การไม่หลง ไม่เหลิงอำนาจ ทำตัวเป็นเศรษฐีเหลิงลม คนเรามักจะลืมตัวเมื่อมีอำนาจ มีลาภยศสรรเสริญ แต่คนที่จะก้าวขึ้นสู่สูงสุดและอยู่ได้อย่างมั่นคง ย่อมไม่หวั่นไหวต่อสิ่งเหล่านี้ และไม่ยอมให้ปัจจัยภายนอกมาเปลี่ยนแปลงทัศนคติและพฤติกรรมของเขาได้ง่ายๆ ผู้นำที่แท้จริงมักนิยมความสมถะ เรียบง่าย และเสมอต้นเสมอปลาย
ดูๆ แล้ว พวกเราก็มีโอกาสเป็น CEO ระดับโลกกับเขาเหมือนกันนะครับ!
6/5/07
ค้นหาจุดเด่นให้พบ ก่อนจะจบชีวิตการทำงาน
การค้นพบจุดเด่นหรือที่เรามักพูดกันติดปากว่า "จุดแข็ง" ของตัวเองให้ได้นั้น เป็น เรื่องยากทีเดียวสำหรับมนุษย์เงินเดือนทุกระดับ ทุกเพศ ทุกวัย เพราะจากการสอบถามตั้งแต่ระดับเจ้า หน้าที่จนถึงระดับรองผู้อำนวยการและผู้อำนวยการ ร้อยละ 40-50 ไม่รู้จุดเด่นของตัวเอง รู้แต่จุดอ่อน นับว่าเป็นการเสียโอกาสเป็นอย่างมาก ที่คนเรามีของดีอยู่กับตัวแล้วไม่รู้ตัว เลยไม่สามารถดึงสิ่ง มีคุณค่าในตัวออกมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดในงานและเรื่องอื่น ๆ ทำไมเราจะต้องใช้จุดเด่นที่มีอยู่ทั้ง ๆ ที่ทุกวันก็สามารถทำงานได้อยู่แล้วโดยไม่ต้องเอาจุดเด่น มายุ่งเกี่ยวด้วย จากการศึกษาผู้บริหารที่ประสบความสำเร็จระดับโลก ต่างตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า ที่ พวกเขาได้รับความก้าวหน้าในหน้าที่การงานได้นั้น เพราะเขาค้นพบจุดเด่นในตัว และใช้มันให้เกิดประ โยชน์และทำงานให้กับเขา จนเป็นผู้บริหารที่มีชื่อเสียง ซึ่งปีเตอร์ ดรักเกอร์กเองก็กล่าวไว้ในหนังสือ หลายเล่มที่ว่า Talent-แววของคนเรา เป็นสิ่งที่เจ้าของจะต้องค้นให้พบ ซึ่งมันจะสร้างความอัศจรรย์ ให้กับเจ้าตัวได้อย่างนึกไม่ถึง เช่นเดียวกันการพัฒนาก็ต้องสร้างกันในเรื่องจุดเด่น จะทำให้ได้ประ โยชน์มากกว่าพัฒนาจุดด้อย...
ซึ่งต้องใช้เวลาและเงินมากกว่า ขั้นตอนการค้นหาจุดเด่นของตัวเองให้พบมีดังต่อไปนี้
1.จงใช้เวลาหลังเลิกงาน ไม่มีคนอื่นหรืองานมารบกวน คิดถึงคุณค่าสำคัญที่เป็นจุดเด่นในตัวเอง แล้วเขียนออกมาว่ามีอะไรบ้าง โดยเขียนลงในแบบฟอร์มข้างล่าง
จุดเด่นข้อที่ 1 ได้แก่.............................
จุดเด่นข้อที่ 2 ได้แก่.............................
จุดเด่นข้อที่ 3 ได้แก่.............................
2.เมื่อคุณทำจนครบทั้ง 3 ข้อแล้ว ให้ใช้เวลาวันต่อไปช่วงเวลาเดิมที่สงบ ๆ ลงมือกระทำภาร กิจการหาจุดเด่นต่อไป นั่นก็คือ พิจารณาจุดเด่นที่เราเขียนจากข้างต้น แล้วเลือกจุดเด่นที่แข็งแรงมากที่สุดซึ่งใช้มันบ่อยมากกว่าตัว อื่น ที่สำคัญ คุณต้องรู้สึกได้ว่าคุณชอบมัน...มันเคยช่วยให้คุณประสบความสำเร็จอะไรบ้าง โดยกรอกลง ไปในฟอร์มข้างล่าง จุดเด่นที่ใช้และชอบมากที่สุด ได้แก่....ข้อ................
3.หาเวลาวันต่อไปช่วงเวลาสงบ พิจารณาจุดเด่นที่แข็งที่สุดในข้อนั้น นำมาใส่ในฟอร์มข้างล่าง อีกครั้ง ดังนี้ จุดเด่นที่ข้าพเจ้ามี (I Have the Strengthest) คือ....................... ข้าพเจ้าจะใช้จุดเด่นนั้นอย่างไร (I will continue doing that strengthest by) ข้าพเจ้าจะเปลี่ยนแปลงตัวเองอย่างไรโดยการใช้จุดเด่นนั้น (I will be change to be better by)
4.หาเวลาในวันต่อไปช่วงเวลาสงบ เพื่อนำจุดเด่นข้อนั้นมาใช้ในแต่ละกิจกรรมของการทำงานใน แต่ละวัน โดยการบันทึกในตารางการทำงานประจำวัน และเขียนบันทึกความสำเร็จและความล้มเหลวที่ เกิดขึ้นแต่ละครั้ง
5.หาเวลาในวันต่อไปช่วงเวลาสงบ เพื่อค้นหาอุปสรรคที่ทำให้เกิดความล้มเหลว และอุปสรรคที่ อาจจะเกิดขึ้นล่วงหน้าที่จะสกัดกั้นความสำเร็จของคุณ
6.หากกิจกรรมใดที่คุณดึงจุดเด่นมาใช้แล้วพบความสำเร็จอย่างงดงาม จงให้รางวัลกับตัวเอง และพักผ่อน 1-2 วันก่อนจะเริ่มกิจกรรมอื่นต่อไป อย่ารอให้โชคชะตามากำหนดตัวคุณ เพราะต้องรอคอยนานเกินไป แต่จงเดินไปหาจุดเด่นนั้นให้ พบ หาให้ได้ว่าในตัวคุณมีสิ่งดีอะไรบ้าง และนำจุดเด่นนั้นมาใช้ให้ตรงกับสิ่งที่ปรารถนา ด้วยการจับคู่กัน ระหว่างจุดเด่นที่แข็งแรงกับสิ่งที่ปรารถนาอยากให้เกิดขึ้นอย่างสร้างสรรค์เพื่อลงมือทำให้เป็นจริง แล้วคุณจะเรียนรู้ว่า การเล่นกับจุดเด่นสนุกกว่าเล่นกับจุดอ่อน โดยเฉพาะสนุกที่จะวางตัวเป็นผู้ชนะใจตัว เอง มีความสุขกว่าพ่ายแพ้แม้กระทั่งตัวเอง
ข้อคิดบุคลิกดี (Personality Tip) :
ชีวิตคือศิลปะ ไม่ใช่ศาสตร์แห่งชีวิต (Life is art not science)
ซึ่งต้องใช้เวลาและเงินมากกว่า ขั้นตอนการค้นหาจุดเด่นของตัวเองให้พบมีดังต่อไปนี้
1.จงใช้เวลาหลังเลิกงาน ไม่มีคนอื่นหรืองานมารบกวน คิดถึงคุณค่าสำคัญที่เป็นจุดเด่นในตัวเอง แล้วเขียนออกมาว่ามีอะไรบ้าง โดยเขียนลงในแบบฟอร์มข้างล่าง
จุดเด่นข้อที่ 1 ได้แก่.............................
จุดเด่นข้อที่ 2 ได้แก่.............................
จุดเด่นข้อที่ 3 ได้แก่.............................
2.เมื่อคุณทำจนครบทั้ง 3 ข้อแล้ว ให้ใช้เวลาวันต่อไปช่วงเวลาเดิมที่สงบ ๆ ลงมือกระทำภาร กิจการหาจุดเด่นต่อไป นั่นก็คือ พิจารณาจุดเด่นที่เราเขียนจากข้างต้น แล้วเลือกจุดเด่นที่แข็งแรงมากที่สุดซึ่งใช้มันบ่อยมากกว่าตัว อื่น ที่สำคัญ คุณต้องรู้สึกได้ว่าคุณชอบมัน...มันเคยช่วยให้คุณประสบความสำเร็จอะไรบ้าง โดยกรอกลง ไปในฟอร์มข้างล่าง จุดเด่นที่ใช้และชอบมากที่สุด ได้แก่....ข้อ................
3.หาเวลาวันต่อไปช่วงเวลาสงบ พิจารณาจุดเด่นที่แข็งที่สุดในข้อนั้น นำมาใส่ในฟอร์มข้างล่าง อีกครั้ง ดังนี้ จุดเด่นที่ข้าพเจ้ามี (I Have the Strengthest) คือ....................... ข้าพเจ้าจะใช้จุดเด่นนั้นอย่างไร (I will continue doing that strengthest by) ข้าพเจ้าจะเปลี่ยนแปลงตัวเองอย่างไรโดยการใช้จุดเด่นนั้น (I will be change to be better by)
4.หาเวลาในวันต่อไปช่วงเวลาสงบ เพื่อนำจุดเด่นข้อนั้นมาใช้ในแต่ละกิจกรรมของการทำงานใน แต่ละวัน โดยการบันทึกในตารางการทำงานประจำวัน และเขียนบันทึกความสำเร็จและความล้มเหลวที่ เกิดขึ้นแต่ละครั้ง
5.หาเวลาในวันต่อไปช่วงเวลาสงบ เพื่อค้นหาอุปสรรคที่ทำให้เกิดความล้มเหลว และอุปสรรคที่ อาจจะเกิดขึ้นล่วงหน้าที่จะสกัดกั้นความสำเร็จของคุณ
6.หากกิจกรรมใดที่คุณดึงจุดเด่นมาใช้แล้วพบความสำเร็จอย่างงดงาม จงให้รางวัลกับตัวเอง และพักผ่อน 1-2 วันก่อนจะเริ่มกิจกรรมอื่นต่อไป อย่ารอให้โชคชะตามากำหนดตัวคุณ เพราะต้องรอคอยนานเกินไป แต่จงเดินไปหาจุดเด่นนั้นให้ พบ หาให้ได้ว่าในตัวคุณมีสิ่งดีอะไรบ้าง และนำจุดเด่นนั้นมาใช้ให้ตรงกับสิ่งที่ปรารถนา ด้วยการจับคู่กัน ระหว่างจุดเด่นที่แข็งแรงกับสิ่งที่ปรารถนาอยากให้เกิดขึ้นอย่างสร้างสรรค์เพื่อลงมือทำให้เป็นจริง แล้วคุณจะเรียนรู้ว่า การเล่นกับจุดเด่นสนุกกว่าเล่นกับจุดอ่อน โดยเฉพาะสนุกที่จะวางตัวเป็นผู้ชนะใจตัว เอง มีความสุขกว่าพ่ายแพ้แม้กระทั่งตัวเอง
ข้อคิดบุคลิกดี (Personality Tip) :
ชีวิตคือศิลปะ ไม่ใช่ศาสตร์แห่งชีวิต (Life is art not science)
เมื่อคุณเปลี่ยนความคิด...วิถีชีวิตคุณจะเปลี่ยน
ในหนังสือ The magic of thinking big (คิดใหญ่ ไม่คิดเล็ก) ได้พูดถึง ความมหัศจรรย์ของการคิดใหญ่ เอาไว้ชัดเจนว่า การกล้าที่จะคิดใหญ่สามารถทำให้เราได้รับความสำเร็จสูงสุด "คนที่คิดอะไรอยู่ในใจ เขาจะเป็นอย่างนั้น" - ศาสดาเดวิด"ผู้ยิ่งใหญ่คือคนซึ่งมองเห็นว่าความคิดเป็นสิ่งที่ครองโลก" - อีเมอร์สัน"จิตใจเป็นผู้สร้างตัวของมันเอง และภายในจิตใจนั้น มันอาจจะสร้างสวรรค์ของนรก หรือนรกของสวรรค์ก็ได้" - มิลตัล ในหนังสือเรื่อง "Paradise Lost""ไม่มีอะไรที่ดีหรือเลว เว้นเสียแต่ว่าความคิดทำให้มันเป็นเช่นนั้น" - เชคสเปียร์"คนเราต่างกันที่ความคิด ความสำเร็จจึงต่างกัน"
เมื่อคุณเปลี่ยน วิธีคิด
ความเชื่อ คุณจะเปลี่ยน
เมื่อคุณเปลี่ยน ความเชื่อ
ความคาดหวัง คุณจะเปลี่ยน
เมื่อคุณเปลี่ยน ความคาดหวัง
ทัศนคติ คุณจะเปลี่ยน
เมื่อคุณเปลี่ยน ทัศนคติ
พฤติกรรม คุณจะเปลี่ยน
เมื่อคุณเปลี่ยน พฤติกรรม
การกระทำ คุณจะเปลี่ยน
เมื่อคุณเปลี่ยน การกระทำ
วิถีชีวิต คุณจะเปลี่ยน
เมื่อคุณเปลี่ยนความคิด...วิถีชีวิตคุณจะเปลี่ยน
เมื่อคุณเปลี่ยน วิธีคิด
ความเชื่อ คุณจะเปลี่ยน
เมื่อคุณเปลี่ยน ความเชื่อ
ความคาดหวัง คุณจะเปลี่ยน
เมื่อคุณเปลี่ยน ความคาดหวัง
ทัศนคติ คุณจะเปลี่ยน
เมื่อคุณเปลี่ยน ทัศนคติ
พฤติกรรม คุณจะเปลี่ยน
เมื่อคุณเปลี่ยน พฤติกรรม
การกระทำ คุณจะเปลี่ยน
เมื่อคุณเปลี่ยน การกระทำ
วิถีชีวิต คุณจะเปลี่ยน
เมื่อคุณเปลี่ยนความคิด...วิถีชีวิตคุณจะเปลี่ยน
6/4/07
-ข้อคิด ทำไมฉันไม่ก้าวหน้าเหมือนเขาเลย ??????
......... พงษ์ศักดิ์ และ สมศักดิ์ เป็นคนจังหวัดเดียวกัน
เกิดปีมะแมด้วยกัน เรียนจบปริญญาตรีสาขาเดียวกัน
จากมหาวิทยาลัยเดียวกัน ทำงานอยู่ที่บริษัทขายสินค้าแห่งเดียวกัน
ช่วงเวลาการทำงานก็ไม่ต่างกันเท่าใดนัก
ทั้งสองคนมีความขยัน ตั้งใจในการทำงานเหมือนกัน
.........แต่ห้าปีต่อมา
พงษ์ศักดิ์ได้เลื่อนตำแหน่งขึ้นเรื่อยๆจนได้เป็นถึงผู้
จัดการแผนก
แต่สำหรับสมศักดิ์นั้นยังเป็นพนักงานขายต๊อกต๋อยเหมือนเดิม
ดูเหมือนทุกคนจะลืมไปว่ามีเขาอยู่ด้วย
........ จนวันหนึ่งสมศักดิ์
ซึ่งหมดความอดทนได้เข้ามาขอยื่นใบลาออกกับผู้จัดการ
เหตุผลก็คือ เขาได้ทำงานหนัก แต่ไม่เคยประจบประแจงเจ้านาย
หรือเป็นคนคุยโวโอ้อวดผลงานของตน
เขาจึงไม่เคยอยู่ในสายตาของผู้จัดการในขณะเลื่อนตำแหน่งหรือได้ทำงานสำคัญเลย
......... เมื่อผู้จัดการฟังสมศักดิ์ พูดจบ เขาทราบว่า สมศักดิ์
นั้นทำงานหนักจริง แต่สมศักดิ์ขาดคุณสมบัติไปข้อหนึ่ง ถ้าพูดไปตรงๆ
อาจทำให้สมศักดิ์ไม่สบายใจ ดังนั้น เขาจึงพูดว่า
” สมศักดิ์ บางทีฉันอาจจะตาลายดูไม่ทั่วถึงนะ ..............
เอาอย่างนี้แล้วกัน ให้เธอไปที่ตลาด ดูว่าวันนี้
ที่ตลาดมีอะไรมาขายบ้าง”
.......... สมศักดิ์ รีบขับรถไปตลาดแล้วก็กลับมารายงานผู้จัดการว่า
”ผมพบว่ามีชาวนาชายคนหนึ่ง ตัดผมลั้น มีแผลเป็นที่หน้าผาก
ท่าทางเป็นคนอิสาน อายุประมาณ ๕๕ ปี ใช้ม้าสีน้ำตาลตัวเมีย
ลากรถมาขายถั่วลิสงครับ”
.......... ผู้จัดการถาม “เขามีถั่วกี่กิโล”
...........สมศักดิ์ ก็ขอขับรถกลับไปดูใหม่สักครู่ก็กลับมา รายงานว่า
”มีถั่วลิสงยังไม่ต้ม 40 กว่าถุงปุ๋ย น้ำหนักถุงละประมาณ 20 กิโลกรัมครับ”
............ ผู้จัดการจึงถามอีกว่า “เขาจะขายถั่วราคากิโลละเท่าไหร่”
สมศักดิ์ ก็จะขอขับรถกลับไปดูใหม่
........... แต่ผู้จัดการได้เรียกให้เขาหยุด
และให้เขาพักผ่อนดูโทรทัศน์ฟุตบอลล์โลกสักครู่
จากนั้นเขาก็ให้คนไปเรียก พงษ์ศักดิ์ มาพบต่อหน้าสมศักดิ์ แล้วพูดว่า
”คุณพงษศักดิ์ ให้ไปตลาดนะ ดูว่าวันนี้มีอะไรมาขายบ้าง”
ครึ่งชั่วโมงต่อมา พงษศักดิ์ ก็กลับมาแจ้งว่า
”ที่ตลาดมีชาวนาชราคนหนึ่งนำถั่วลิสงเกรดสองมาขาย มีอยู่ประมาณ 40 กว่าถุง
รวมแล้วหนักราว 800 กิโลกรัม ตรวจคุณภาพถั่วแล้วใช้ได้ดี เขาขายปลีกถุงละ
๓๐๐ บาท
แต่ถ้าเราซื้อทั้งหมดเขาจะขายให้ถุงละ ๒๓๐ บาท
ซึ่งถ้าจะเอาทั้งหมดจริงๆ น่าจะต่อรองลงได้อีกถุงละสิบบาท
เราสามารถนำไปขายต่อให้ร้านของชำฝั่งตรงข้ามได้ถุงละ ๒๘๐ บาท
มีกำไรทันที๒๔๐๐ บาทครับ”
......... จากนั้นพงษ์ศักดิ์ ก็นำตัวอย่างถั่วลิสงหนึ่งกำมือ
ให้ผู้จัดการดู แล้วพูดต่อว่า ”พรุ่งนี้เขาจะนำถั่วแบบเดียวกันอีก 1 คันรถมาขาย
ที่นี่อีก ถ้าท่านเห็นชอบผมจะไปหาร้านที่อื่นในเมือง ให้รับซื้อไว้ล่วงหน้าดีไหมครับ”
.......สมศักดิ์ซึ่งยืนอยู่ข้างๆเริ่มหน้าแดง
เขาขอร้องให้ผู้จัดการคืนใบลาออกให้กับเขา
......ตอนนี้เขาเข้าใจถึงความแตกต่างระหว่างตัวเขาเองกับพงษ์ศักดิ์แล้ว
สรุปความว่า
คนที่จะประสบความสำเร็จก้าวหน้าได้นั้น
ที่จริงแล้วไม่มีเทคนิคอะไรมากนักหรอก
+++++ แต่เขาจะมีความคิดที่ไกล ลึกซึ้ง
และก้าวหน้ากว่าคนอื่นเท่านั้นเอง+++++
++ การมีความคิดที่ก้าวไกล และทำงานให้ทันต่อสถานะการณ์ เป็นสิ่งที่สำคัญยิ่ง++
การที่เราก้มหน้าก้มตาทำงานไป โดยที่ไม่มองข้างบนหรือข้างๆเลย
ว่าเขาไปถึงไหนกันแล้ว
การที่ไม่สืบไม่ดูไม่รู้ว่าองค์กรของเรามีนโยบายหรือเป้าหมายอะไรในอนาคต
ดิดแต่จะทำตามหน้าที่ที่กำหนดไปวันหนึ่งวันหนึ่ง
หรือทำอย่างที่เคยทำมาตลอดเวลาสิบปี นั้น เราอาจย่ำเท้าอยู่กับที่หรือเดินถอยหลัง อาจไม่ก้าวไปข้างหน้า
เพียงเราหยุดอยู่กับที่ แต่คนอื่นก้าวหน้าไป ก็เท่ากับเราเดินถอยหลังแล้ว
ลองคิดดูซิ ในขณะที่คุณทำงานอยู่ในวันนี้นั้น คุณมีความคิดที่ไกล
ลึกซึ้ง และ ตรงตามนโยบายขององค์กรไปถึงกี่ขั้นแล้ว ??????
เกิดปีมะแมด้วยกัน เรียนจบปริญญาตรีสาขาเดียวกัน
จากมหาวิทยาลัยเดียวกัน ทำงานอยู่ที่บริษัทขายสินค้าแห่งเดียวกัน
ช่วงเวลาการทำงานก็ไม่ต่างกันเท่าใดนัก
ทั้งสองคนมีความขยัน ตั้งใจในการทำงานเหมือนกัน
.........แต่ห้าปีต่อมา
พงษ์ศักดิ์ได้เลื่อนตำแหน่งขึ้นเรื่อยๆจนได้เป็นถึงผู้
จัดการแผนก
แต่สำหรับสมศักดิ์นั้นยังเป็นพนักงานขายต๊อกต๋อยเหมือนเดิม
ดูเหมือนทุกคนจะลืมไปว่ามีเขาอยู่ด้วย
........ จนวันหนึ่งสมศักดิ์
ซึ่งหมดความอดทนได้เข้ามาขอยื่นใบลาออกกับผู้จัดการ
เหตุผลก็คือ เขาได้ทำงานหนัก แต่ไม่เคยประจบประแจงเจ้านาย
หรือเป็นคนคุยโวโอ้อวดผลงานของตน
เขาจึงไม่เคยอยู่ในสายตาของผู้จัดการในขณะเลื่อนตำแหน่งหรือได้ทำงานสำคัญเลย
......... เมื่อผู้จัดการฟังสมศักดิ์ พูดจบ เขาทราบว่า สมศักดิ์
นั้นทำงานหนักจริง แต่สมศักดิ์ขาดคุณสมบัติไปข้อหนึ่ง ถ้าพูดไปตรงๆ
อาจทำให้สมศักดิ์ไม่สบายใจ ดังนั้น เขาจึงพูดว่า
” สมศักดิ์ บางทีฉันอาจจะตาลายดูไม่ทั่วถึงนะ ..............
เอาอย่างนี้แล้วกัน ให้เธอไปที่ตลาด ดูว่าวันนี้
ที่ตลาดมีอะไรมาขายบ้าง”
.......... สมศักดิ์ รีบขับรถไปตลาดแล้วก็กลับมารายงานผู้จัดการว่า
”ผมพบว่ามีชาวนาชายคนหนึ่ง ตัดผมลั้น มีแผลเป็นที่หน้าผาก
ท่าทางเป็นคนอิสาน อายุประมาณ ๕๕ ปี ใช้ม้าสีน้ำตาลตัวเมีย
ลากรถมาขายถั่วลิสงครับ”
.......... ผู้จัดการถาม “เขามีถั่วกี่กิโล”
...........สมศักดิ์ ก็ขอขับรถกลับไปดูใหม่สักครู่ก็กลับมา รายงานว่า
”มีถั่วลิสงยังไม่ต้ม 40 กว่าถุงปุ๋ย น้ำหนักถุงละประมาณ 20 กิโลกรัมครับ”
............ ผู้จัดการจึงถามอีกว่า “เขาจะขายถั่วราคากิโลละเท่าไหร่”
สมศักดิ์ ก็จะขอขับรถกลับไปดูใหม่
........... แต่ผู้จัดการได้เรียกให้เขาหยุด
และให้เขาพักผ่อนดูโทรทัศน์ฟุตบอลล์โลกสักครู่
จากนั้นเขาก็ให้คนไปเรียก พงษ์ศักดิ์ มาพบต่อหน้าสมศักดิ์ แล้วพูดว่า
”คุณพงษศักดิ์ ให้ไปตลาดนะ ดูว่าวันนี้มีอะไรมาขายบ้าง”
ครึ่งชั่วโมงต่อมา พงษศักดิ์ ก็กลับมาแจ้งว่า
”ที่ตลาดมีชาวนาชราคนหนึ่งนำถั่วลิสงเกรดสองมาขาย มีอยู่ประมาณ 40 กว่าถุง
รวมแล้วหนักราว 800 กิโลกรัม ตรวจคุณภาพถั่วแล้วใช้ได้ดี เขาขายปลีกถุงละ
๓๐๐ บาท
แต่ถ้าเราซื้อทั้งหมดเขาจะขายให้ถุงละ ๒๓๐ บาท
ซึ่งถ้าจะเอาทั้งหมดจริงๆ น่าจะต่อรองลงได้อีกถุงละสิบบาท
เราสามารถนำไปขายต่อให้ร้านของชำฝั่งตรงข้ามได้ถุงละ ๒๘๐ บาท
มีกำไรทันที๒๔๐๐ บาทครับ”
......... จากนั้นพงษ์ศักดิ์ ก็นำตัวอย่างถั่วลิสงหนึ่งกำมือ
ให้ผู้จัดการดู แล้วพูดต่อว่า ”พรุ่งนี้เขาจะนำถั่วแบบเดียวกันอีก 1 คันรถมาขาย
ที่นี่อีก ถ้าท่านเห็นชอบผมจะไปหาร้านที่อื่นในเมือง ให้รับซื้อไว้ล่วงหน้าดีไหมครับ”
.......สมศักดิ์ซึ่งยืนอยู่ข้างๆเริ่มหน้าแดง
เขาขอร้องให้ผู้จัดการคืนใบลาออกให้กับเขา
......ตอนนี้เขาเข้าใจถึงความแตกต่างระหว่างตัวเขาเองกับพงษ์ศักดิ์แล้ว
สรุปความว่า
คนที่จะประสบความสำเร็จก้าวหน้าได้นั้น
ที่จริงแล้วไม่มีเทคนิคอะไรมากนักหรอก
+++++ แต่เขาจะมีความคิดที่ไกล ลึกซึ้ง
และก้าวหน้ากว่าคนอื่นเท่านั้นเอง+++++
++ การมีความคิดที่ก้าวไกล และทำงานให้ทันต่อสถานะการณ์ เป็นสิ่งที่สำคัญยิ่ง++
การที่เราก้มหน้าก้มตาทำงานไป โดยที่ไม่มองข้างบนหรือข้างๆเลย
ว่าเขาไปถึงไหนกันแล้ว
การที่ไม่สืบไม่ดูไม่รู้ว่าองค์กรของเรามีนโยบายหรือเป้าหมายอะไรในอนาคต
ดิดแต่จะทำตามหน้าที่ที่กำหนดไปวันหนึ่งวันหนึ่ง
หรือทำอย่างที่เคยทำมาตลอดเวลาสิบปี นั้น เราอาจย่ำเท้าอยู่กับที่หรือเดินถอยหลัง อาจไม่ก้าวไปข้างหน้า
เพียงเราหยุดอยู่กับที่ แต่คนอื่นก้าวหน้าไป ก็เท่ากับเราเดินถอยหลังแล้ว
ลองคิดดูซิ ในขณะที่คุณทำงานอยู่ในวันนี้นั้น คุณมีความคิดที่ไกล
ลึกซึ้ง และ ตรงตามนโยบายขององค์กรไปถึงกี่ขั้นแล้ว ??????
Subscribe to:
Posts (Atom)