"เราจะทำงานอย่างปกติสุขร่วมกับเจ้านายได้อย่างไร ? มีกลยุทธ์อะไรบ้างไหม? ที่จะทำให้เรารับมือกับทั้งเจ้านาย แฟน ภรรยา และลูกน้องได้?" คำถามในชีวิตประจำวันเหล่านี้ เทรซี่บอกว่า สิ่งที่ง่ายที่สุดก็คือ ให้ยอมรับซะว่าอะไรในชีวิตที่ทำให้เครียด จงกล้าหาญและยอมรับกับตัวเองว่าเราผิดพลาดไปแล้ว บางครั้งต้องยอมรับผิดและอาจจะต้องจากกันด้วยดี
ไม่ต่างอะไรกับเวลาทำธุรกิจ แล้วยืนกรานว่าเราจะไม่ขายกิจการ แต่ปัจจุบัน 80% ถ้าส่อแววล้มเหลวแล้วเราจะยังทู่ซี้ต่อไปหรือไม่?
เขาตั้งคำถามว่า เวลายักษ์ใหญ่อย่างไอบีเอ็ม จีเอ็ม หรือโกดัก ประสบปัญหา ผู้บริหารเหล่านี้เขาแก้เกมกันอย่างไร? สิ่งที่ดำเนินการคือ เอาประธานคนใหม่เข้ามา ใช้สายตาคู่ใหม่ ทำอะไรให้ใหม่ๆ ไม่ทำซ้ำกับของเดิม มีการขายบางแผนกออกไปถ้าค้นพบว่าไม่ทำกำไร ก็เหมือนกับชีวิตของคนเราถ้าทำอะไรพลาดไปแล้ว เราจะต้องไม่ทำซ้ำอีก และมองตัวเองอย่างซื่อสัตย์ตรงไปตรงมา
"การลงทุนในเรื่องของเวลาก็เช่นกัน บางอย่างถ้าใช้เยอะเกินไปก็ไม่ดี อย่าไปทำซ้ำอีก อย่างเช่น 80% ของคนที่เรียนมหาวิทยาลัยจะค้นพบว่า บริษัทจะไม่จ้างคนมาทำงานในสิ่งที่เขาเรียน หรือเราเลือกวิชาเรียนผิด ไม่มีคุณค่าต่อตลาด ก็ถือเป็นการสูญเสียการลงทุน ศัพท์ทางบัญชีเรียกว่าเป็นค่าใช้จ่ายที่จม"
กฎของความสำเร็จในสายตาของเทรซี่ เขาบอกว่า อย่าไปสนใจมากนักกับสิ่งที่ผ่านมา เหมือนกับการทิ้งหินในมหาสมุทร ผ่านแล้วก็แล้วกัน ยอมรับว่าพลาด อย่าไปใช้เวลาพูดถึงอดีตเพราะเปลี่ยนไม่ได้ เสียเวลาเปล่า แต่จงใช้พลังงานไปในเรื่องที่ถูกต้อง เคล็ดลับความสำเร็จคือ ไม่ใช้ฟืนทุ่มลงไปในกองไฟที่ดับแล้ว
"ถ้าเราเปิดใจ ยอมรับปัญหาที่คนทั่วไปไม่กล้ารับ ยอมรับว่าคิดผิด ทำผิด เป็นการลงทุนที่ไปเพิ่มค่าใช้จ่าย เราต้องยอมรับว่าเราเองก็ผิดได้ ยอมรับว่าไม่สมบูรณ์แบบ จะทำให้ความสัมพันธ์กับคนรอบข้างดีขึ้นอย่างทันตา ถ้าคิดเป็นเหตุเป็นผลได้เราจะชนะได้"
...โน้มตัวไปข้างหน้า...
เมื่อยุติอดีตได้แล้ว เราก็ต้องเคลื่อนที่ไปข้างหน้าไม่ว่าจะเป็นคนหรือองค์กร เรื่องที่ต้องพูดและบอกกับตัวเองก็คือ เราจะต้องทำอะไรบ้าง? ถึงจะไปต่อได้ บางคนอยากยิ่งใหญ่ แต่ไม่เคยถามตัวเองเลยว่าต้องทำอย่างไรบ้าง?
ความสำเร็จของอินเทลทำให้ผู้ประกอบการหลายรายเจ๊งไม่เป็นท่า บางบริษัทต้องปิดกิจการแล้วหันเหไปเริ่มธุรกิจใหม่ เป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นว่า คนจะยิ่งใหญ่ได้ต้องเปลี่ยนแปลงมหาศาล เพราะไม่มีหลักประกันใดๆ ว่า ทำไปแล้วจะประสบความสำเร็จ เพียงแต่ต้องลงมือทำให้มากขึ้น และผลลัพธ์ที่ได้ เราอาจจะเป็นเหยื่อของการเปลี่ยนแปลงนั้น หรืออาจจะเป็นคนที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงก็ได้
เขาเปรียบเทียบการวิ่งไปหาอนาคตเหมือนกับการเล่นสกี ถ้าทำให้เลื่อนไปข้างหน้าได้ แปลว่าสามารถควบคุมได้ และเวลาที่โน้มตัวไปข้างหน้าก็ทำให้ไปได้เร็วขึ้น แต่เวลาที่เกิดกลัวขึ้นมาตัวเองก็จะถูกดึงห่างออก แล้วก็ตกถึงพื้นในที่สุด
"เวลาเล่นสกีเราต้องไปข้างหน้าไปกับความเร็ว จะทำให้คุมได้ดีมาก เหมือนอนาคตไปข้างหน้า ก็จะทำให้เรามีอำนาจมากขึ้น สามารถคุมทิศทางและกำหนดอนาคตได้ด้วย ถ้าเมื่อไหร่? เราอ่อนแอ ก็จะกลายเป็นว่าสถานการณ์ควบคุมเรา ถ้าเราไม่มีแผนชัดเจน ทางเลือกเดียวคือต้องทำตามสถานการณ์ ดังนั้นเราต้องมีแนวคิดชัดเจน ต้องโน้มตัวไปข้างหน้า ไม่ยอมเป็นเหยื่อของการเปลี่ยนแปลง"
คนเก่งเขาทำกันอย่างไร?
เทรซี่ใช้เวลากว่าครึ่งชีวิตในการค้นคว้าหาความรู้ สืบเสาะว่าทำอย่างไร? คนเราถึงจะประสบความสำเร็จในชีวิตได้? คำถามที่ผุดในใจเขาคือ ทำอย่างไร? ถึงจะให้ใครสักคนได้เปลี่ยนวิถีชีวิตของตัวเอง
ทำไมบางคนถึงประสบความสำเร็จมากกว่าอีกคน เขาเฉลยว่า เป็นกฎแห่งเหตุและผล เช่นจะขายอย่างไร? หาลูกค้าอย่างไร? มีเทคนิคอะไรบ้าง? ในการปิดการขาย สิ่งที่จะทำให้เราประสบความสำเร็จก็มีเพียงแค่ว่า เราทำในสิ่งที่คนอื่นคิดไว้แล้ว เรียนรู้ และนำสิ่งต่างๆ มาใช้
"ถ้าความคิดนั้นดี ผมจะลงมือทำ ลองไปหาลูกค้า 10 รายแล้วปฏิบัติทันที เอาสูตรความสำเร็จมาศึกษา กลายเป็นทักษะเฉพาะตัว ถ้าเราทำทุกอย่างที่คนอื่นทำ เราก็จะประสบความสำเร็จ เป็นไปตามกฎเหล็กที่ว่า ทุกอย่างเกิดขึ้นมีที่มาที่ไป"
เทรซี่ยกตัวอย่างกีฬาโอลิมปิคฤดูหนาว ที่โค้ชมักจะสอนต่อๆ กันมาว่า เทคนิคที่ดีที่สุดในการเล่นกีฬาเพื่อก้าวสู่ความเป็นแชมป์คือ การเดินตามทางแห่งความสำเร็จ "ถ้าไม่ยอมแพ้ คุณจะไม่ยอมหยุดเดิน" สิ่งที่เขาย้ำคือ อย่ารอคอยความผิดหวัง ท้อแท้ หดหู่ เพราะนั่นหมายถึงว่า คุณจะไม่มีโอกาสได้เริ่มต้น
"เตรียมใจให้พร้อม พูดๆๆๆ กับตัวเองทุกวัน ตัดสินใจให้ได้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร? ช่างมัน ต้องไม่ล้มเลิกความตั้งใจเหมือนเด็กหัดเดิน ไม่ว่าล้มไปกี่ครั้ง ต้องไม่เลิกทำ ล้มเหลวได้แต่ต้องไม่ยอมล้มเลิก"
เทรซี่ให้ความสำคัญมากกับความคิดความมุ่งมั่นภายในใจ ซึ่งเป็นหลักการพื้นฐานความสำเร็จของคนเก่ง เขามองว่าความคิดสร้างสรรค์สร้างชีวิตใหม่ได้ ในขณะที่ความคิดเป็นตัวสร้าง สภาวะจะกลายเป็นผลที่ตามติดมา "โลกภายนอกเป็นเพียงกระจกเงาของโลกความคิดภายใน คุณสามารถเป็นสิ่งที่คุณคิดได้ตลอดเวลา"
คนเก่งๆ เขาคิดกันอย่างไร? สุดยอดคนเขาทำกันอย่างไร? จะตั้งโปรแกรมอย่างไร? ให้เงินเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า ทั้งหลายทั้งปวงที่กลุ่มคนเหล่านี้ทำก็คือการเรียนรู้
"คนที่ประสบความสำเร็จซึ่งมีเพียง 10% เขาคิดอะไรของเขาอยู่ตลอดเวลา แน่นอนสิ่งที่เขาคิดก็คือ เขาต้องการอะไร? และทำอย่างไร? ถึงจะได้อย่างที่ต้องการ คนสุดยอดคิดแต่ว่าต้องการอะไร? และจะได้มาได้อย่างไร? จะเอาชนะปัญหาอุปสรรคอย่างไร? คนสุดยอดถามตัวเองว่า อย่างไร? หรือ How? ตลอดเวลา"
เขาย้ำมากในประเด็นของความคิดที่นำไปสู่การกระทำได้อย่างไร? ความคิดที่สามารถกระตุ้นให้คนเราทำอะไรบางอย่าง ที่อาจจะล้มเหลวหรือประสบความสำเร็จก็ได้ ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร? มันจะนำไปสู่ความคิดใหม่ๆ
เป็นความคิดเชิงบวกที่ไปทดแทนความคิดเชิงลบ เหมือนหันหน้าเข้าหาแสงสว่างที่มีเงาดำทอดไปข้างหลัง แสงสว่างสร้างพลังในจิตใจ และความสำเร็จก็มาจากการมองโลกในแง่ดี
ทุกปัญหาเป็นบทเรียน
หลายคนอาจจะอมยิ้มกับการมองต่างมุมของเทรซี่ กับเรื่องราวที่เกิดขึ้นรอบๆ ความหมายของคำว่าชีวิต "ชีวิตที่ไม่มีปัญหาเลยเป็นเรื่องน่าเบื่อ โอกาสความสำเร็จก็ยากขึ้น" เขาว่าอย่างนั้น สิ่งสำคัญที่ชวนคิดต่อก็คือ ปัญหาถ้าเกิดแล้วจะแก้อย่างไร? คนเราถ้าไม่เจ็บปวดจะไม่มีการเรียนรู้ และทั้งชีวิตมีหลายบทเรียนให้ต้องเรียน อำนาจที่ยิ่งใหญ่มากๆ จำเป็นต้องใช้การเรียนรู้นำทาง
"ปัญหาสร้างให้คนเรามีบทเรียนในชีวิตอย่างไรบ้าง? ปัญหายิ่งใหญ่ ยิ่งเรียนรู้ได้มากขึ้นเท่านั้น ปัญหาทำให้ชีวิตดำเนินต่อไปได้ คนที่ประสบความสำเร็จเป็นการเรียนรู้จากประสบการณ์ ผลตอบแทนยิ่งสูงขึ้น ก็จะยิ่งเจ็บปวดมากขึ้น เราต้องเรียนรู้จากปัญหาเล็กๆ น้อยๆ ตลอดเวลา ถือเป็นบทเรียนอันยิ่งใหญ่ และยิ่งขุดลึกเท่าไหร่? ยิ่งมีบทเรียนมากเท่านั้น"
คนส่วนใหญ่ไม่กล้าที่จะเรียนรู้จากบทเรียนที่ยิ่งใหญ่ ทั้งๆ ที่การเรียนรู้นำไปสู่การเปลี่ยนแปลง นำไปสู่การแก้ไข การตัดสินใจที่ทำให้เกิดความโล่งอกโล่งใจติดตามมา "เฮ้อ! ฉันน่าจะทำอย่างนี้ไปตั้งนานแล้ว"
เขายกตัวอย่าง 1 ใน 5 บริษัทของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ที่มัวแต่ไปยุ่งกับการแข่งขันในสินค้าที่คล้ายคลึงกัน แล้วมานั่งถามตัวเองว่าทำอย่างไร? ถึงจะยิ่งใหญ่ได้ ทำไม? อนาคตการทำงานถึงไม่สุดยอดเสียที? แปลว่าบริษัทนี้กำลังทำธุรกิจผิดประเภท สุดท้ายจึงต้องยอมขายกิจการออกไป คำถามก็คือเราต้องการความกล้าหาญขนาดไหน? ถึงจะมองเห็นบทเรียน เปิดไฟสว่างให้ตัวเอง
"พระเจ้ามักจะเอาปัญหาเป็นตัวตั้ง ถ้าอยากได้ของขวัญชิ้นใหญ่ ปัญหายิ่งมาก สิ่งที่เราต้องทำคือ จัดลำดับความสำคัญของปัญหาแล้วมาแก้ มีอะไรก็เรียนรู้เอาจากสิ่งเหล่านั้น"
เป้าหมายสร้างความสุข
เทรซี่บอกว่า ในชีวิตคนเรามี 3 เรื่องเท่านั้นที่มีผลอย่างยิ่งต่อการสร้างความสุข 1. คือเงิน 2. คือสุขภาพ และ 3. คือความสัมพันธ์ คนที่ประสบความสำเร็จนำไปสู่เป้าหมายเหล่านี้ได้อย่างไร?
หลักๆ เลยคือการมองว่าต้องกากบาทเป้าหมายที่ต้องการให้ชัดเจน และความคิดถือเป็นงานที่ให้ผลกำไรมากที่สุด คิดอะไรก็ได้ตรงนั้น คิดดีก็ได้ดี คิดไม่ดีก็ได้ไม่ดี ขึ้นกับว่าเราจะไปกากบาทตรงไหน?
"ต้องมีจุดมุ่งที่ชัดในทุกเรื่องของชีวิต จุดมุ่งหมายสำคัญต้องคิดถึงรายได้ ทำงานให้ได้ผลผลิตมากเท่าที่ทำงานได้ 80% ของประชากรโลก ทำงานไป เล่นไป ไม่เคยคิดเลยว่าชั่วโมงหนึ่งหาเงินได้เท่าไหร่? ถ้าเราสามารถเพิ่มรายได้ 2 เท่าแต่ละชั่วโมงทำงาน ยิ่งสร้างผลิตผลได้เท่าไหร่? จะขยับรายได้มากขึ้นเท่านั้นจากล่างขึ้นไปถึงบน อะไรที่ทำแล้วไม่ได้เงินก็หยุดมันซะ ถามตัวเองว่าอยากเป็นนกอินทรีหรือเป็นเป็ด"
แง่ของสุขภาพและความสมบูรณ์ของร่างกาย การเดินถือเป็นการสร้างสุขภาพที่ดีที่สุด วิธีของคนสุดยอดคิดก็คือ คิดถึงสุขภาพที่ได้จากการออกกำลังและคิดกันเป็นแบบอัตราต่อชั่วโมง
ความแตกต่างระหว่างสุดยอดคนกับสามัญชนคือ ในขณะที่คนสุดยอดก้าวไปสู่เป้าหมาย สามัญชนจะรอและนั่งรอไปตลอดชีวิต คนสุดยอดยินดีล้มเหลวแล้วล้มเหลวอีก ยิ่งพลาดบ่อยๆ ทำให้การเรียนรู้เกิดขึ้น คนสุดยอดคิดถึงเป้าหมายตลอดเวลา อยากได้อะไรก็ระบุลงไปชัดเจนเจาะจง ไม่ฝันลมๆ แล้งๆ แบบเด็กๆ 90% ของคนส่วนใหญ่มักไม่ลงมือทำ แต่อีก 10% ของยอดคนจะนำไปปฏิบัติจริง อย่างเช่น ถ้าอยากเก่งภาษาอังกฤษต้องฝึกทุกวัน ทุกภาษาในโลก 80% จะอยู่ในคำพูด 1,200 คำ ศึกษาเท่านี้ก็สามารถใช้พูดคุยกับใครก็ได้ ดูทีวีก็ได้ ที่สำคัญภาษาอังกฤษเรียนวันละ 3 คำก็พอ
"ให้จินตนาการไว้เลยว่าเราประสบความสำเร็จ ความสุขทำให้เรามีพลัง มีเป้าหมาย ล้มแล้วลุกก้าวต่อไป คนมีเป้าหมายหน้าตาจะบอก"
สุดยอดคนต้องมุ่งมั่นกับความเป็นเลิศ กำหนดตัวเองให้ได้ว่าจะเป็นเลิศได้อย่างไร? อย่างเช่น อยากปิดการขายก็ต้องกำหนดได้ ควบคุมได้ และวัดผลได้ ถือเป็นหัวใจสำคัญของงาน หาให้ได้ว่าทักษะอะไร? พัฒนาแล้วมีผลต่อการทำงาน ทำให้เพิ่มรายได้มากเป็น 2 เท่า พัฒนาไปแล้วทักษะอันไหน? ช่วยมากที่สุด ให้กำลังใจตัวเองว่า ไม่มีใครฉลาดเท่าเรา ไม่มีใครทำดีเท่าเรา ต้องฝึกเรียนรู้ที่จะเป็นสุดยอดของคนที่มีเพียง 10% บนโลกใบนี้ ซึ่งจะเปลี่ยนชีวิตของเราไปเลย
ประเด็นสุดท้ายในเรื่องของความสัมพันธ์ เทรซี่เล่าว่า สุดยอดคนจะให้ความสนใจกับผู้คนตลอดเวลา ต้องทำให้สมดุลในแง่สัมพันธภาพทั้งที่ทำงานและที่บ้าน สิ่งที่แสดงออกได้ง่ายสุดคือ การยอมรับคนอื่นด้วยการยิ้มให้ เคารพเขาและให้ความสำคัญ แสดงความขอบคุณ ความซาบซึ้ง ชมเชย หรืออะไรก็ได้ที่แสดงออกถึงการยอมรับ
รวมถึงการให้ความสำคัญกับคนรอบข้าง ตั้งใจฟังเวลาที่คนอื่นพูด ในขณะที่ผู้ชายต้องการเพียงแค่อาหารและเซ็กซ์ ผู้หญิงกลับต้องการความรักและความสนใจ ดังนั้นเรื่องที่ง่ายที่สุดคือ จงฟังในสิ่งที่ผู้หญิงเขาอยากจะพูด
"ปัญหาจะหมดไปแค่ฟัง ผู้ชายต้องการจริงๆ ในชีวิตไม่กี่เรื่อง แต่ผู้หญิงต้องการอะไรต่อมิอะไรพันอย่างในคราวเดียวกัน"
งานหลักของคนคือการแก้ปัญหา
เทรซี่มองปัญหาเหมือนคลื่นในมหาสมุทร มาอยู่เรื่อยๆ เล็กบ้างใหญ่บ้าง ขณะที่คนเราเองก็มีวิกฤติเกิดขึ้นทุก 2-3 เดือน ดังนั้นการมองปัญหาก็เหมือนกับได้เห็นอนาคต ต้องไม่ห่วงในเรื่องที่เปลี่ยนไม่ได้ เพราะคนเรามีพลังจำกัด ไม่อย่างนั้นจะไม่มีพลังสำหรับอนาคต
ในเมื่องานหลักของคนเราคือการแก้ปัญหา สิ่งสำคัญคือให้คิดถึงทางออก ไม่ใช่คิดถึงปัญหา เหมือนเวลาอยากโทรศัพท์ ก็แค่กดหมายเลขโทรออก เวลาแก้ปัญหาก็ต้องทำแบบเดียวกัน ในราว 50% ของปัญหาจะสามารถแก้ไขได้ ถ้ามีการบ่งชี้ชัดเจน อย่างไรก็ดี ต้องยอมรับว่า ทางออกที่ดีที่สุดของการแก้ปัญหาไม่เคยมีเลย แต่ทางออกที่ทำให้คนเราแก้ปัญหาได้พอมีบ้าง
ตัวอย่างของการเบิ้ลยอดขายให้ได้ สิ่งที่ต้องถามตัวเองคือ ขายอะไร? คนซื้อได้ประโยชน์อะไรจากการซื้อสินค้าชิ้นนี้? เพราะลูกค้าไม่สนหรอกว่าคุณจะขายอะไร? สนแต่เพียงว่าสินค้าคุณทำอะไรให้เขาได้บ้าง? "ผู้หญิงไม่ได้ต้องการเครื่องสำอาง แต่ต้องการความสวยต่างหาก และเครื่องสำอางเป็นหนทางนำไปสู่ความสวย" ดังนั้นทั้งหมดที่ต้องการขายคือ ทำให้ลูกค้าได้ประโยชน์สูงสุด ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้มากที่สุด
เขาย้ำว่า ถ้ามีปัญหาอะไรก็ตาม ให้มองว่าทุกปัญหาทุกอุปสรรคนำไปสู่เมล็ดพันธุ์โอกาสอันยิ่งใหญ่กว่า ทุกปัญหามีคำตอบในตัวเอง ปัญหาที่เกิดขึ้นทำให้คนคิดใหม่ ทำใหม่ มองหาช่องทางปรับปรุง
"เราอยู่ในเวลาเปลี่ยนแปลงที่ดีที่สุด โอกาสข้างหน้ามีมหาศาล เราทุกคนสามารถควบคุมวิถีชีวิตของตัวเอง ทำทุกวันให้บรรลุเป้าหมาย สิ่งที่ต้องคิดถึงคือโอกาสไม่ใช่ปัญหา"
ทั้งหมดนี้คือ แก่นคิดของสุดยอดคน "ไบรอัน เทรซี่" กับรหัส (ไม่) ลับสู่ความสำเร็จ ด้วยการเริ่มต้นจากคำว่า How?
ที่มา
ผู้จัดการรายสัปดาห์
10 มีนาคม 2549
No comments:
Post a Comment